เรื่อง : ปิยะวรรณ นาคะสิงห์
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
ประเทศแห่งอารยธรรมและความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่าง ‘ประเทศอินเดีย’ ปัจจุบันครองแชมป์ดินแดนที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยจำนวนล่าสุด 1,428 ล้านคน และกว่า 40% เป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุต่ำกว่า 25 ปี อย่างไรก็ตามอินเดียกลับยังคงความเชื่อในการแบ่งชนชั้นตามระบบวรรณะ ที่มีประวัติความเป็นมามากกว่า 3,000 ปี ความเชื่อนี้แบ่งแยกความเป็นคนจากชาติกำเนิดอันมีพื้นเพมาจากความเชื่อทางศาสนาฮินดู
ระบบวรรณะในอินเดียแบ่ง ‘คน’ ออกเป็น 4 ชนชั้น ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ (Brahmins) ที่เป็นนักบวชและผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา วรรณะกษัตริย์ (Kshatriyas) ที่เป็นชนชั้นปกครองและนักรบ วรรณะแพศย์หรือไวศยะ (Vaishyas) ที่เป็นประชาชนทั่วไปหรือพ่อค้า และวรรณะศูทร (Shudras) ที่เป็นชนชั้นแรงงานหรือคนรับใช้
นอกจากนี้ ยังมีคนที่ถูกจัดให้เป็น อวรรณะ หรือ จัณฑาล (Chandala) ซึ่งกำเนิดจากพ่อแม่ที่แต่งงานกันข้ามวรรณะ โดยคนกลุ่มนี้จะถูกมองว่าน่ารังเกียจ ไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ เพื่อทำมาหากินได้ เพราะไม่ถูกมองว่าเป็น ‘คน’
อย่างไรก็ตาม จัณฑาลทั้งเพศชายและเพศหญิงก็ยังมีคุณค่ามากกว่ากลุ่มคนที่สังคมไม่รู้ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง อย่าง ‘ฮิจรา’ (Hijra)
ฮิจรา เป็นคำภาษาฮินดู มีที่มาจากตำนานศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ในตอนหนึ่งของรามเกียรติ์ หรือรามายณะฉบับอินเดียใต้ ว่า “ครั้งหนึ่งพระรามถูกเนรเทศ มีกลุ่มคนออกมาส่งพระรามถึงนอกเมือง พระรามจึงบอกแก่คนเหล่านั้นว่า ให้ทั้งชายและหญิงเช็ดน้ำตาและกลับเข้าเมืองไปเสีย แต่ ณ ที่แห่งนั้นมีกลุ่มคนที่ยังยืนรอพระรามอยู่กว่า 14 ปี เพราะพวกเขาไม่ใช่ทั้งชายและหญิงจึงไม่กลับเข้าเมือง เมื่อพระรามกลับมาพบจึงให้พรคนกลุ่มนี้ให้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ อวยพรก็สมหวัง สาปแช่งก็เป็นจริง และเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ฮิจรา”
คำว่าฮิจรา จึงเป็นคำที่ใช้กล่าวถึงกลุ่มคนที่เป็นเพศหลากหลายมานับพันปี
เมื่อบุคคลที่เป็นเพศหลากหลายในประเทศอินเดียเปิดเผยความเป็นตัวตนออกมา ว่าไม่ได้เป็นทั้งเพศชายและเพศหญิง สังคมจะปฏิเสธพวกเขา แม้แต่ครอบครัวก็ขับไล่อย่างไม่ใยดี เนื่องมาจากค่านิยมทางเพศที่ฝังลึกในจิตใจของผู้คนและอคติทางสังคม พวกเขาไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ได้ อย่างมากก็เป็นขอทาน หรือโสเภณี
คนกลุ่มนี้จึงต้องมารวมตัวเพื่อพึ่งพาอาศัยกันเป็นชุมชนฮิจราอันเป็นชุมชนศักดิ์สิทธิ์ เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าฮิจราได้รับพรจากพระรามให้คำอวยพรของพวกเขาเป็นจริง สิ่งนี้จึงกลายเป็นอาชีพให้ฮิจราได้ทำมาหากิน โดยพวกเขาจะแต่งตัวด้วยชุดส่าหรีและแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางตามกำลังทรัพย์ให้สะสวยพอที่จะเป็นตัวแทนจากพระเจ้าในการรับจ้างอวยพรในพิธีสำคัญต่างๆ เช่น วันแต่งงาน วันเกิดของทารก ผู้ที่ได้รับพรมีความเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาจะประสบความสำเร็จตามคำอวยพรของเหล่าฮิจรา
นอกจากให้คำอวยพร ฮิจรายังสามารถสาปแช่งให้พบเจอกับโชคร้ายและเคราะห์กรรมได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนเคารพและให้เกียรติฮิจราในฐานะของผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
แม้ฮิจราไม่ถูกยอมรับด้วยบรรทัดฐานทางสังคมของอินเดียที่มองว่ามนุษย์มีเพียงเพศชายและเพศหญิง แต่ฮิจราก็อยู่รอดด้วยความเชื่อของคนในสังคม จากจุดต่ำสุดกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพบูชาได้อย่างย้อนแย้ง
แต่สิ่งที่น่าตระหนักถึงมากกว่านั้น คือฮิจราไม่ได้ต้องการเป็น ‘ผู้ศักดิ์สิทธิ์’ แต่พวกเขาอยากได้รับสิทธิในฐานะพลเมืองคนหนึ่งในสังคม เช่น สวัสดิการทางการแพทย์และการศึกษา ที่พวกเขายังไม่ได้รับอย่างเท่าเทียมกับพลเมืองอื่นๆ เพราะรัฐบาลมองว่าพวกเขาเป็น ‘เพศที่สาม’
การรณรงค์ของพวกเขาเริ่มได้ผล ในปี 2014 ศาลสูงสุดของอินเดียได้มีคำตัดสินยอมรับสถานะเพศที่สามด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม อนุญาตให้ระบุเพศในเอกสารทางการได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขกฎหมายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ได้แก่ การยกเลิกการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ว่าด้วยการกำหนดให้การรักร่วมเพศเป็นอาชญากรรม ซึ่งการยกเลิกนี้มาจากคำพิพากษาของศาลสูงสุดของอินเดียเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กฎหมายใหม่ๆ ที่ร่างโดยชนชั้นปกครองที่ปราศจากความเข้าใจในอัตลักษณ์และความต้องการที่แท้จริงของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ยังทำให้เกิดปัญหาตามมาอยู่บ่อยๆ เช่น การกำหนดคำนิยามของกลุ่มคนข้ามเพศที่คลุมเครือ ส่งผลให้มีความไม่ชัดเจนและช่องโหว่ อาทิ คนข้ามเพศคือบุคคลที่เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด หรือหมายถึงบุคคลที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศแล้วกันแน่ ขณะที่การระบุเพศในบัตรประจำตัวต้องมีหลักฐานการผ่าตัดแปลงเพศมาก่อน ซึ่งขัดกับที่ศาลสูงสุดตัดสินยอมรับเพศที่สามทุกคนและอนุญาตให้แก้ไขเพศในเอกสารทางการได้
นอกจากนี้กฎหมายที่ร่างมาเพื่อส่งเสริมสิทธิ์ให้แก่บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ กลับไม่ได้ให้ความคุ้มครองที่เท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป เช่น ความผิดในการล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกายบุคคลหลากหลายทางเพศ มีโทษสูงสุดคือจำคุก 2 ปี หากเป็นความผิดเดียวกันแต่เกิดขึ้นกับเด็กและผู้หญิง จะกลายเป็นมีโทษตั้งแต่จำคุกตลอดชีวิตถึงประหารชีวิต
การเปิดกว้างทางเพศที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียอาจสะท้อนให้เห็นว่า การเปิดรับ (ยัง) ไม่เท่ากับ ‘การยอมรับ’ และแม้อินเดียมองเห็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ…
แต่ (ยัง) ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง
อ้างอิง
กัญญารัตน์ อรน้อม. (2566). “ฮิจรา – กะเทยอินเดีย” ทำไมถึงมีวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ในการสาปแช่ง?. สืบค้นจาก https://www.silpa
mag.com/culture/article_100489
รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี. (ผู้สร้าง). (2565). ชีวิตที่ต้องสู้ของคนข้ามเพศในอินเดีย. [Youtube] สืบค้นจาก https://youtu.be/
NQ2p1s8HiB8?si=U0-hiGXlFTqUQdsi
Histofun Deluxe. (5 สิงหาคม 2566). วรรณะของอินเดียคืออะไร?. [Facebook]. สืบค้นจาก https://www.facebook.com/
100063673755691/posts/pfbid02c46EwZZnEjELoiNpT4cLZ1WtPY6GRp76NbBBBKr3U4qLrx3Dwxhx8iBMibi3saafl/?
SPECTRUM. (28 มีนาคม 2566). กะเทยนี่แหละที่รอพระรามกลับบ้านมานาน 14 ปี!. [Facebook]. สืบค้นจาก https://www.facebook.com
/276483199710024/posts/pfbid023eUY4DBaEAvh53XJ7yjpMnUgSzuXhrXJ4ptyqnMNPB99sNnNxUEGxGuyTLRti8Eol/?
ThaiPBS. (2023). 10 อันดับประเทศประชากรมากที่สุดในโลก. สืบค้นจาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/329511