เรื่อง : จุฑาภัทร ทิวทอง
ภาพประกอบ : สิทธิเดช สายพัทลุง
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. CBS สถานีโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา ได้จัดเวทีดีเบตสำหรับผู้ลงสมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างเจมส์ เดวิด แวนซ์ หรือเจ.ดี. แวนซ์ จากพรรครีพับลิกัน (James David Vance, J.D. Vance, Republican) และทิม วอลซ์ จากพรรคเดโมแครต (Tim Walz, Democrat) หากผู้ชมในไทยต้องการชมการถ่ายทอดย้อนหลัง ช่องทางที่สะดวกที่สุดคือการดูผ่านเว็บไซต์ YouTube ทางช่อง CBS News โดยกฎของของการดีเบต ที่ผู้เข้าร่วมทั้งสองได้ยอมรับมีรายละเอียดดังนี้
- ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งจะได้รับคำถามจากผู้ดำเนินรายการ 1 คำถาม โดยจะมีเวลา 2 นาทีในการตอบ
- ผู้เข้าร่วมฝ่ายตรงข้ามจะมีเวลา 2 นาทีในการโต้แย้ง
- หลังจากนั้นแต่ละฝ่ายจะมีเวลา 1 นาทีในการขยายความที่ต้องการสื่อ และหากผู้ดำเนินรายการเห็นสมควร ทั้งสองฝ่ายจะได้รับเวลาเพิ่ม 1 นาทีในการอธิบาย
- ผู้ดำเนินรายการมีหน้าที่ในการกระตุ้นการดีเบตระหว่างทั้งสองฝ่าย บังคับใช้กฎ รวมทั้งให้โอกาสผู้เข้าร่วมในการตรวจสอบความถูกต้องของคำกล่าวอ้างของอีกฝ่าย
ประเด็นคำถามที่ปรากฏในการดีเบตครั้งนี้ เป็นประเด็นที่กำลังถูกพูดถึง และเป็นข้อถกเถียงในสหรัฐฯ เช่น อิสราเอลและตะวันออกกลาง, เฮอริเคนเฮลีนและภาวะโลกร้อน, ผู้อพยพ, เศรษฐกิจ, สิทธิในการสืบพันธุ์หรือยุติครรภ์, การควบคุมอาวุธปืน, ราคาที่อยู่อาศัย, ระบบการดูแลสุขภาพ, การลางานเพื่อดูแลลูก, ประชาธิปไตยในอเมริกา และคำถามจากประเด็นส่วนตัวของผู้เข้าร่วม ก่อนที่ผู้เข้าร่วมการดีเบตทั้งสองจะกล่าวคำปิดท้าย
ทั้งนี้ เราได้สรุปใจความสำคัญของเนื้อหาที่แวนซ์ และวอลซ์ดีเบตกันใน 3 ประเด็นคำถามที่น่าสนใจ ดังนี้
ประเด็นอิสราเอลและตะวันออกกลาง
วอลซ์ ได้รับคำถามเกี่ยวกับการที่อิหร่านโจมตีอิสราเอล แต่ไม่สำเร็จ เพราะความร่วมมือทางการป้องกันของสหรัฐฯ และอิสราเอล ผู้ดำเนินรายการอธิบายถึงสถานการณ์ทางการทหารและการเมืองของอิหร่านจากมุมมองของสหรัฐฯ เพิ่มเติม โดยคำถาม คือ “หากท่านเป็นเสียงสุดท้ายในการตัดสินใจ ท่านจะสนับสนุนหรือต่อต้านหากอิสราเอลจะโจมตีอิหร่าน”
วอลซ์ และแวนซ์แสดงความเห็นชอบในการสนับสนุนอิสราเอลทั้งคู่ โดยวอลซ์ กล่าวว่า อิสราเอลมีสิทธิพื้นฐานในการป้องกันตนเอง ช่วยเหลือตัวประกัน และยุติวิกฤตด้านมนุษยธรรมในกาซา การเติบโตของอิสราเอลและประเทศตัวแทนคือความจำเป็นขั้นพื้นฐานของสหรัฐฯ เพื่อแสดงถึงการมีอำนาจและการเป็นผู้นำที่มั่นคงในภูมิภาค ซึ่งมีความสำคัญ พร้อมกล่าวถึงกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีพรรคเดโมแครตและรองประธานาธิบดีในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden)
วอลซ์ กล่าวว่า กมลาแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่มั่นคงดังกล่าวในข้างต้น โดยการสร้างความร่วมมือของแนวร่วม แสดงถึงความเข้าใจความสำคัญของพันธมิตร ในขณะเดียวกันวอลซ์ กล่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีพรรคริพับลิกันและอดีตประธานาธิบดี แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำที่ไม่มีความแน่นอนในการดึงแนวร่วมให้แข็งแรง จากการร่วมมือกับประเทศเกาหลีเหนือ
และวลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีประเทศรัสเซีย
แวนซ์ ตอบคำถามในการดีเบตว่า ขึ้นอยู่กับอิสราเอลว่าจะทำอะไรเพื่อให้ประเทศของเขาปลอดภัย ซึ่งสหรัฐฯ ควรสนับสนุนพันธมิตรของตนเอง เขาโต้แย้งว่า ในสมัยที่กมลาดำรงตำแหน่ง อิหร่านได้รับการสนับสนุนเงิน และใช้เงินเหล่านั้นในการซื้ออาวุธที่ปัจจุบันถูกนำมาโจมตีแนวร่วม และเป็นไปได้ที่จะใช้โจมตีสหรัฐฯ
แวนซ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์การร่วมมือกันของอิหร่านและฮามาสเกิดขึ้นในสมัยการดำรงตำแหน่งของกมลา“ทรัมป์มองเห็นว่า การสร้างสันติสุขนั้นเป็นผลพ่วงมาจากความแข็งแกร่ง ดังนั้นการป้องกันและปราบปรามที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้คนอยู่กับร่องกับรอยได้”
ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
แวนซ์ ได้รับคำถามเกี่ยวกับกรณีเฮอริเคนเฮลีน หนึ่งในเฮอริเคนที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อระดับความรุนแรงของเฮอริเคน จากผลสำรวจโดยสำนักข่าว CBS เผยว่า 7 ใน 10 ของชาวสหรัฐฯ และกว่าร้อยละ 60 ของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน สนับสนุนให้สหรัฐฯดำเนินการเพื่อลดผลกระทบสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
คำถามคือ “ในการบริหารของทรัมป์จะมีความรับผิดชอบการลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างไรบ้าง”
แวนซ์ กล่าวว่าเขาและทรัมป์สนับสนุนสิ่งแวดล้อม อากาศ และน้ำที่สะอาด ปลอดภัย เขาสังเกตเห็นฝั่งพรรคเดโมแครตแสดงความกังวลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ คำตอบของปัญหาอยู่ที่การย้ายฐานการผลิตของผู้ผลิตสหรัฐฯ กลับเข้ามาในประเทศ และผลิตพลังงานในสหรัฐฯ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจที่สะอาดที่สุดในโลก ในขณะที่นโยบายของกมลา เพิ่มการผลิตพลังงานในประเทศจีน, ผลิตสินค้าในต่างประเทศ และทำธุรกิจในพื้นที่ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยเศรษฐกิจมากที่สุดของโลก ฉะนั้นหากใส่ใจกับอากาศและน้ำที่สะอาด ทางออกคือการลงทุนกับแรงงาน และชาวอเมริกัน
วอลซ์ โต้แย้งว่า ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีไบเดนและรองประธานาธิบดีกมลา ได้เห็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กับร่างกฎหมายการลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act, มีเป้าหมายในการลดเงินเฟ้อภายในประเทศ พร้อมกับแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและกระตุ้นการใช้พลังงานสะอาดของภาคครัวเรือน) โดยยกตัวอย่างผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือในรัฐมินนิโซตา และเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง พร้อมใช้พลังงานจากลม
วอลซ์กล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ ผลิตพลังสะอาดมากขึ้น ฉะนั้นทางออกคือการเดินหน้านโยบายต่อไป “การลดผลกระทบที่เราก่อต่อสิ่งแวดล้อมสำคัญ และสามารถปฏิบัติได้พร้อมกับการสร้างงานในประเทศ และสหรัฐฯ กำลังกลายเป็นมหาอำนาจด้านพลังงาน”
ประเด็นด้านสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ (Reproductive Rights)
วอลซ์ ได้รับคำถามเกี่ยวกับปัญหาด้านสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ หลังกรณีล้มคำวินิจฉัยคดี ‘Roe v Wade’ (คำวินิจฉัยรับรองสิทธิในเลือกการยุติครรภ์) เขาได้อนุมัติร่างนิติบัญญัติที่กลายเป็นข้อกฎหมาย ซึ่งทำให้รัฐมินนิโซตากลายเป็นรัฐที่มีการควบคุมการยุติครรภ์น้อยที่สุดในสหรัฐฯ โดยในการดีเบตครั้งก่อนของทรัมป์ กล่าวว่า วอลซ์ไม่มีปัญหากับการยุติครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ 9 เดือน
คำถามคือ “จากคำกล่าวของทรัมป์คือสิ่งวอลซ์สนับสนุนจริงหรือไม่”
วอลซ์ กล่าวว่า สิ่งที่ทรัมป์กล่าวมาไม่ใช่เนื้อหาของร่างนิติบัญญัติ และทรัมป์คือบุคคลที่ทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน โดยการจัดวางผู้พิพากษาของตนในการพิจารณา และล้มคำวินิจฉัยคดี ‘Roe v Wade’ กล่าวว่า เขายกตัวอย่างผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกคำวินิจฉัย โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐมินนิโซตาคือการยึดคำวินิจฉัยคดีเป็นแบบเดิม ที่ให้สิทธิกับผู้หญิงในการควบคุมการดูแลสุขภาพของตนเอง
นอกจากนี้เขาได้ยกประเด็น ‘Project 2025’ (แนวทางการบริหารแบบอนุรักษ์นิยม ที่ถูกลือว่าพรรครีพับลิกันและทรัมป์จะนำมาใช้) ขึ้นมา โดยกล่าวว่าแนวทางดังกล่าวจะทำให้การคุมกำเนิดเข้าถึงยาก จำกัดสิทธิรักษาการมีบุตรยาก ซึ่งวอลซ์กล่าวว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่รัฐแต่ละรัฐสามารถตัดสินใจแตกต่างกันได้ เพราะเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
แวนซ์ โต้แย้งว่า จะไม่การสร้างหน่วยงานรัฐเพื่อตรวจสอบดูแลการตั้งครรภ์ตามข่าวลือ ‘Project 2025’ เขายกตัวอย่างประสบการณ์ในชีวิตที่ได้พบเจอและมีคนใกล้ตัวได้ตัดสินใจยุติครรภ์ แวนซ์กล่าวว่าผู้หญิงหลายคนตัดสินใจยุติครรภ์ เพราะรู้สึกว่านั่นคือทางออกทางเดียวของชีวิต พร้อมระบุว่าพรรครีพับลิกันต้องการปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ และแวนซ์กับทรัมป์มีเป้าหมายในการดึงความเชื่อใจของชาวสหรัฐฯ ในประเด็นปัญหาที่ประชาชนไม่เชื่อใจให้พรรคดูแล กลับคืนมา
แวนซ์ กล่าวว่า เขาต้องการให้พรรครีพับลิกันเป็นพรรคที่สนับสนุนครอบครัวในด้านต่างๆ (Pro-Family) ไม่ว่าจะเป็นการรักษาการมีบุตรยาก, ช่วยให้มารดาสามารถดูแลค่าใช้จ่ายในการมีบุตรได้, ผู้คนสามารถเอื้อมถึงราคาที่อยู่อาศัยสำหรับสร้างครอบครัว หรือสร้างนโยบายที่ให้ทางเลือกกับผู้หญิงมากขึ้น แวนซ์เพิ่มเติมว่า ทรัมป์ชัดเจนกับนโยบายการยุติครรภ์ที่ให้สิทธิกับรัฐในการกำกับควบคุม เพราะผู้คนในแต่ละรัฐต่างก็มีความคิดที่หลากหลาย โดยเป็นสิทธิของประชาชนในรัฐนั้นๆ ที่จะเลือกตั้งผู้คนซึ่งสะท้อนความคิดของตนเองไปดูแลนโยบาย
อ้างอิง
Inflation Reduction Act : สหรัฐ ปฏิวัติภาษี หนีโลกร้อน | สุมาพร มานะสันต์, กรุงเทพธุรกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1021039
Read the full VP debate transcript from the Walz-Vance showdown, CBS News
https://www.cbsnews.com/news/full-vp-debate-transcript-walz-vance-2024
ยกเลิก Roe VS Wade: ‘เถียงกันเรื่องแท้ง’ ในประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน+เสรีนิยม, The101.Worldhttps://www.the101.world/overturn-of-roe-v-wade/
“ทรัมป์2 จะใช้ Project 2025 ทำรัฐประหารอเมริกา?”, กรุงเทพธุรกิจ