เขียน: กวินทัต สวัสดิ์นพรัตน์

แม่ค้าโรงอาหารมธ.ติงโครงการคนละครึ่งช่วยผู้บริโภคแต่ไม่ได้ช่วยคนขาย เพราะรายรับไม่เพิ่มขึ้นแถมต้องแบกรับค่าใช้จ่ายต้นทุนวัตถุดิบ แนะรัฐบาลควรทำนโยบายลดต้นทุนวัตถุดิบระยะยาวเพื่อช่วยทั้งผู้ค้าและผู้บริโภค
จากกรณีที่เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แถลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยเตรียมเสนอโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อยอดมาจากโครงการคนละครึ่งเดิม โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายสินค้าและบริการให้กับประชาชนในราคาครึ่งหนึ่ง เพื่อลดภาระค่าครองชีพ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย และทำให้เกิดการกระจายตัวของเม็ดเงินภายในประเทศ โดยจะเริ่มใช้จ่ายได้ภายในเดือนตุลาคมนั้น
อังสนา พร้อมเจือแก้ว ผู้ค้าขายอาหารภายในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) รังสิตให้สัมภาษณ์ว่า โครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่ดีต่อผู้บริโภค เพราะนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค ยังทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น ใช้สิทธิ์ของโครงการกับร้านที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างหลากหลาย แต่ในมุมของผู้ประกอบการที่เป็นร้านค้าโครงการคนละครึ่งอาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากทำให้การหมุนเวียนเงินของร้านค้าติดขัด
“คนละครึ่งน่าจะมีผลดีกับผู้บริโภค แต่มีผลเสียกับร้านค้า เนื่องจากเราขายข้าวปกติ แต่ได้เงินแค่ครึ่งเดียวก่อน แล้วอีกวันเงินจำนวนเต็มถึงจะเข้ามา มันทำให้ภาวะการหมุนเวียนเงินของเราช้าลง และไม่ได้ทำให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม เราจำเป็นต้องเข้าร่วมโครงการเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเอาไว้” อังสนากล่าว
อังสนา ระบุเพิ่มเติมว่า ในการเข้าถึงโครงการคนละครึ่งพลัสรอบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ภาครัฐให้สิทธิกับคนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นกลุ่มแรก ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม เพราะเกณฑ์การพิจารณาผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีเงื่อนไขความยากจนและความร่ำรวยของครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเกณฑ์การพิจารณากำหนดว่าผู้ขอรับสิทธิต้องมีรายได้ส่วนตัว และรายได้เฉลี่ยของครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวจะไม่ได้รับสิทธิ์ อังสนาจึงเสนอว่าควรประเมินรายได้ส่วนบุคคลมากกว่ารายได้ของครอบครัว เพื่อให้สิทธิการเข้าถึงบัตรสวัสดิการของรัฐกระจายอย่างทั่วถึง และทุกคนสามารถมีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้บริการโครงการคนละครึ่งได้
“การประเมินรายได้ของครอบครัวอาจไม่ตอบโจทย์ อย่างแม่ของเราควรที่จะได้สิทธิตามที่บัตรสวัสดิการกำหนดเอาไว้ แต่กลายเป็นเขาประเมินว่าลูกทำงานอยู่ ถือว่าครอบครัวมีรายได้อยู่แล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วบางครอบครัวพ่อแม่ก็อยู่คนเดียว ลูกไม่ได้ส่งเงินมาให้คนในครอบครัว จึงควรมีการประเมินรายได้ของบุคคลมากกว่ารายได้ทั้งครัวเรือนรวมกัน” อังศนากล่าว
อังสนา กล่าวด้วยว่า นโยบายคนละครึ่งอาจเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น แต่หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว รัฐบาลควรลดต้นทุนของสินค้าบริโภค เช่น เนื้อสัตว์ น้ำมัน และไข่ไก่ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ค้าขายรายย่อยสามารถจัดการปัญหาต้นทุนในการค้าขายได้
“รัฐบาลควรทำอย่างไรก็ได้ อย่าให้คนรากหญ้าเดือดร้อน คุมราคาสินค้าให้ผู้บริโภคสำหรับคนรากหญ้า เพราะตอนนี้ผู้บริโภคจริงๆ คือพวกชาวบ้านที่ต้องกินต้องใช้ ต้นทุนจึงควรมีรัฐบาลมากำหนด แต่ถึงอย่างไร ไม่ว่ารัฐบาลจะทำนโยบายอะไร มันก็ไม่เคยมาช่วยบ้านเราจริงๆ ทุกวันนี้เราอยู่ได้ด้วยตัวเราเองตลอด” อังสนากล่าว
ด้านทิพยาพร ศรีสวัสดิ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาภาษาศาสตร์ นักศึกษาจากโครงการช้างเผือกกล่าวว่า โครงการคนละครึ่งในรอบแรกที่เคยใช้บริการมีประโยชน์สำหรับกิจการของครอบครัว เพราะครอบครัวทำกิจการส่งขนมไปขายในร้านสหกรณ์ของโรงเรียนในจังหวัดสกลนคร พอมีโครงการนี้ก็สามารถช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ผลิตขนม รวมทั้งลดค่าครองชีพที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่โครงการคนละครึ่งอาจเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นมากกว่าการแก้ไขปัญหาในระยะยาวที่ยั่งยืน
“โครงการคนละครึ่งรอบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราคิดว่าสามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นๆ เพราะว่าคนไทยชอบส่วนลด ก็ทำให้คนอยากออกไปใช้เงิน แต่มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จริงๆ ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่า อย่างการลดต้นทุนของข้าวของที่ใช้จ่ายต่างๆ น่าจะดีกว่านี้” ทิพยาพรกล่าว