เขียน: ภัชราพรรณ ภูเงิน

ข้อมูลจากการเสวนาโดยเครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่ เพื่อความเท่าเทียม ระบุว่าอาชญากรรมจากความเกลียดชังรุนแรงกว่าอาชญากรรมทั่วไป เพราะมีแรงขับจากความเกลียดชัง พร้อมเสนอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ปัญหา ผลักดันกฎหมายการลงโทษผู้กระทำผิดแบบขั้นบันไดและเสนอให้มีการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง
เมื่อวันที่ 27 กันยายน ในงานเสวนาออนไลน์ ‘สำรวจ HATE CRIME และข้อเสนอเชิงนโยบาย’ ที่จัดขึ้นโดยเครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่ เพื่อความเท่าเทียม (TransEqual) นักวิชาการและนักกิจกรรมนำเสนอข้อมูลที่สนใจว่า Hate Crime หรืออาชญากรรมจากความเกลียดชัง มีความรุนแรงกว่าอาชญากรรมทั่วไป เพราะมี Hate Speech หรือคำพูดที่แสดงความเกลียดชังเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งข้อมูลยังระบุว่า สื่อมีส่วนในการผลิตซ้ำอคติทางเพศต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ+ ทำให้ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้น ทางออกของปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากสังคมและภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังในอนาคต
Hate Crime รุนแรงกว่าอาชญากรรมทั่วไป
พริษฐ์ ชมชื่น คณะทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่ กล่าวว่า Hate Crime หรืออาชญากรรมจากความเกลียดชัง คืออาชญากรรมที่มักมีความรุนแรง และลักษณะการทำร้ายร่างกายที่โหดร้ายทารุณมากกว่าอาชญากรรมอื่นๆ เนื่องจากมีอคติและความเกลียดชังเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอคติเรื่องเพศ เชื้อชาติ สีผิว หรืออัตลักษณ์ชายขอบอื่นๆ
ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทย กล่าวว่าอาชญากรรมจากความเกลียดชัง มีมูลเหตุมาจากทัศนคติ การเลือกปฏิบัติ หรืออคติทางลบ โดยเหยื่ออาจไม่จำเป็นต้องเป็นคนชายขอบจริงๆ ก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของผู้กระทำ เช่นถ้าผู้กระทำเชื่อว่าเหยื่อเป็นคนข้ามเพศแล้วลงมือทำร้ายด้วยเหตุผลนั้น ถึงแม้เหยื่อจะเป็นผู้ชายตรงเพศ การกระทำนี้ก็ถือเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ดังนั้นอัตลักษณ์ของเหยื่อที่ผู้กระทำรับรู้ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เข้าข่ายอาชญากรรมจากความเกลียดชังได้
ชนาธิป ยังเพิ่มเติมว่า อาชญากรรมจากความเกลียดชังส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้คำพูดที่แสดงความเกลียดชังได้ หากคำพูดนั้นเป็นการปลุกปั่นให้เกิดอคติทางลบ การเลือกปฏิบัติ หรือความรุนแรงในวงกว้าง โดยนักกิจกรรมที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องเพศและประชาธิปไตยในประเทศไทยต้องเผชิญกับความรุนแรงด้วยเหตุทางเพศในโลกออนไลน์หลายรูปแบบ เช่น การเผยแพร่อัตลักษณ์เดิมของคนข้ามเพศโดยไม่ได้รับอนุญาต (Doxing) การถล่มด่าด้วยความเกลียดชัง (Cybermobbing) และการขู่ฆ่า ที่พบได้มากในนักกิจกรรมข้ามเพศมุสลิมชายแดนใต้
ชนาธิป ปิดท้ายว่า ภาครัฐล้มเหลวในการคุ้มครองคนที่ถูกคุกคามในโลกออนไลน์ เนื่องจากมีช่องว่างทางกฎหมาย และยังขาดความอ่อนไหวในเรื่องทางเพศ เช่น การให้เหยื่อพิมพ์เอกสารและขีดเส้นใต้ข้อความคุกคามเอง ซึ่งเป็นเสมือนการทำร้ายซ้ำจากการที่เหยื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ด้านอารยา บัวบาล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า อาชญากรรมจากความเกลียดชังเป็นรูปแบบหนึ่งของการเลือกปฏิบัติ เพราะเหยื่อจะรู้สึกถูกปฏิเสธและขาดการมีส่วนร่วมภายในสังคม ผลกระทบของอาชญากรรมประเภทนี้จึงรุนแรงและยาวนาน อีกทั้งส่งผลให้สมาชิกในกลุ่มเดียวกันรู้สึกสะเทือนใจและหวาดกลัวไปด้วย ดังนั้น หากการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงกว่าอาชญากรรมทั่วไป ประเทศไทยควรมีการกำหนดความผิดและโทษทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังโดยตรง
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กำจัด Hate Crime ให้หมดไป
พริษฐ์ กล่าวว่า คนที่เป็นผู้เสนอกฎหมายหรือออกนโยบายต่างๆ ต้องเข้าใจหลักการสิทธิมนุษยชนก่อน และต้องสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงของอาชญากรรมจากความเกลียดชังเพื่อให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ บทลงโทษทางกฎหมายต้องทันสมัย ครอบคลุมถึงการใช้คำพูดที่แสดงความเกลียดชังในโลกออนไลน์และสื่อต่างๆ ส่วนผู้กระทำความผิดต้องได้รับการสร้างความเข้าใจและการเรียนรู้ เพื่อให้เขาเข้าใจว่าอคติของตัวเองเกิดจากอะไร และไม่กลับมาก่อเหตุซ้ำอีก ขณะที่ผู้ถูกกระทำต้องได้รับการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ
ด้านชนาธิป ระบุว่า ภาครัฐและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องให้ทรัพยากรในการจัดทำข้อมูลและวิจัยเกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังมากขึ้น และควรสนับสนุนแนวทางการวางกรอบกฎหมายที่ลดหลั่นกันไป เช่นการออกแบบความผิดในหลายระดับ เพื่อให้มีวิธีการลงโทษทางกฎหมายที่เหมาะสมกับแต่ละกรณี
ชนาธิป กล่าวเพิ่มเติมว่า อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย อย่างเช่น Facebook มักถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ โดยเลือกโปรโมทเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์และดึงดูดการกดไลก์ แชร์ หรือคอมเมนต์ ทำให้ข้อความที่สร้างความเกลียดชังถูกขยายการเข้าถึงอย่างกว้างขวางโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งปัญหานี้เกิดจากการขาดการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Due Diligence) และการขาดการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกการทำงานของอัลกอริทึม ทำให้ยากที่จะออกแบบมาตรการกำกับดูแล หรือปรับปรุงอัลกอริทึมโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของผู้ใช้ได้ ดังนั้น ภาคประชาสังคมจึงควรมีบทบาทสำคัญในการกดดันให้บริษัทโซเชียลมีเดียแสดงความรับผิดชอบต่อการเผยแพร่ข้อความที่สร้างความเกลียดชังที่เกิดจากระบบของตนเอง
ปวีณา หมู่อุบล นักวิจัยอิสระ ผู้เขียนรายงานสำรวจสถานการณ์และข้อเสนอเบื้องต้นกรณีความรุนแรง การเลือกปฏิบัติ และอาชญากรรมจากความเกลียดชัง กล่าวว่า การแก้ปัญหาอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ต้องทำไปพร้อมๆ กันในทุกภาคส่วนและทุกระดับ โดยการเก็บข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ประเทศไทยต้องสร้างวัฒนธรรมการเก็บข้อมูลที่ทั้งกว้างและลึก เช่น ทุกประเด็นทางสังคม ทุกระดับอายุ และทุกอัตลักษณ์ เป็นต้น เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่มั่นคง หนักแน่น และมีประสิทธิภาพมากพอที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและการปรับปรุงกฎหมายในอนาคต
ขณะที่อารยา กล่าวว่า ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากข้อมูลจะทำให้รู้ว่าความรุนแรงในไทยเป็นแค่อคติหรือเป็นอาชญากรรม และการมีข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายของการออกกฎหมายในอนาคตได้ แต่อุปสรรคที่ทำให้การเก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นไปได้ยากมาจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐขาดความเข้าใจเรื่องเพศ ดังนั้นจึงต้องแก้ไขชุดความคิดของหน่วยงานรัฐก่อนที่จะแก้กฎหมาย
สื่อและการนำเสนอข้อมูลกลุ่มความหลากหลายทางเพศ
ปวีณา กล่าวว่า สื่อมักใช้อัตลักษณ์ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาเป็นจุดขายของข่าวแทนการนำเสนอข้อเท็จจริงและมูลเหตุจูงใจ ซึ่งเป็นการผลิตซ้ำมายาคติ สร้างความกลัว และความวิตกกังวลให้กับเจ้าของอัตลักษณ์
“การรายงานข่าวของไทยมักจะใช้อัตลักษณ์ทางเพศของทอมและนอนไบนารี่มาเป็นจุดขาย เช่น บอกว่าคนนี้เป็นทอมและถูกกระทำแบบนี้ ไม่ได้เน้นการรายงานข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น สาเหตุคืออะไร มูลเหตุจูงใจของเหตุการณ์นี้คืออะไร หลังจากนี้เกิดอะไรขึ้น ส่วนตัวมองว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรมากกับการแก้ไขสถานการณ์ อาชญากรรมจากความเกลียดชังทางเพศ) และอีกนัยหนึ่ง ยิ่งเป็นการสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับเจ้าของอัตลักษณ์ด้วย” ปวีณากล่าว
ด้านอารยา กล่าวว่า สื่อมีพลังมากในการสร้างความเข้าใจเรื่องเพศ โดยยกตัวอย่างจากกรณีล่าสุดที่สภากาชาดไทยปฏิเสธการรับเลือดของกลุ่ม MSM (กลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชาย) แต่สื่อได้นำเสนอข้อมูลไม่ครบถ้วน และไม่ตรงตามความเป็นจริง อาทิ มีการพาดหัวว่า ‘ไม่รับเลือด LGBT’ อาจทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดในสาระสำคัญ และเกิดการเหมารวมได้ “ถ้าอาจารย์เป็นกลุ่ม LGBT อาจารย์จะสะเทือนใจมาก และคิดว่าสิ่งนี้คือการใช้ความรุนแรงที่มีผลต่อจิตใจ เพราะฉะนั้นต้องฝากสื่อว่าต้องมีจริยธรรมและหาข้อมูลให้ครบก่อน ถึงจะพาดหัวให้ถูกต้องได้”
พรทิพย์ นิพพานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวารสารศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นจากวงเสวนาว่า ประเด็นเรื่องเพศถือเป็นหนึ่งในคุณค่าข่าว ไม่ว่าจะเป็นเพศกำเนิด (Sex) เพศที่ถูกสร้างขึ้นโดยสังคม (Gender) หรือรสนิยมทางเพศ (Sexuality) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ข่าวน่าสนใจ อีกทั้งสื่อเป็นธุรกิจที่ต้องพึ่งพารายได้ การหยิบยกประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศมานำเสนอย่อมดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ ช่วยเพิ่มยอดขาย และสร้างการมีส่วนร่วมจากสังคมได้มากขึ้น
พรทิพย์ กล่าวว่า การพาดหัวข่าวโดยไม่รอบคอบอาจสร้างผลกระทบ เช่น กรณีสภากาชาดไทยปฏิเสธการรับบริจาคเลือด การที่สื่อนำเสนอว่า ‘ไม่รับบริจาคเลือดจาก LGBT’ หรือ ‘ไม่รับบริจาคเลือดเกย์’ เป็นการตีตราและกดทับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งที่ปัญหาอยู่ที่กระบวนการคัดกรองของสภากาชาดไทย ไม่ใช่คุณภาพเลือดของผู้บริจาค การนำเสนอในลักษณะนี้อาจก่อให้เกิดการวิจารณ์ด้วยคำพูดที่แสดงความเกลียดชัง และบานปลายไปสู่อาชญากรรมจากความเกลียดชังได้
พรทิพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีคู่มือในการนำเสนอประเด็นความหลากหลายทางเพศ จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่ทำร่วมกับมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (ThaiTGA) หากต้องการให้การนำเสนอของสื่อเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น สื่อต้องทำความเข้าใจหลักปฏิบัติเหล่านี้อย่างชัดเจนและนำไปใช้จริง โดยสื่อจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับข้อเท็จจริงของเหตุการณ์อย่างรอบด้าน และนำเสนอด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้การสื่อสารของตัวเองกลายเป็นเชื้อไฟทางสังคม