เรื่อง : รณรต วงษ์ผักเบี้ย
‘ความตาย’ เป็นคำที่ให้ความรู้สึกห่างไกลในขณะเดียวกันก็ใกล้ชิดกับเรามากกว่าที่คิด สุญญากาศแห่งความตายนั้นยากแท้หยั่งถึงเกินจิตสำนึกของมนุษย์คนหนึ่ง แต่มัจจุราชก็เฝ้ารอทุกชีวิตอยู่ทุกหัวมุมถนนเช่นกัน เมื่อร่างกายของเราหยุดทำงานและทิ้งไว้เพียงลมหายใจสุดท้าย บรรยากาศรอบตัวปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้าของคนที่รัก สุดท้ายมนุษย์เราก็ปลดปล่อยความเศร้าและความทรงจำผ่านพิธีกรรมแห่งการบอกลาที่เรียกว่า ‘งานศพ’
วันปีใหม่เพิ่งจะผ่านพ้นมาไม่นาน ผู้คนนึกถึงการเริ่มต้นใหม่ ความสุขที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ การเริ่มต้นปีใหม่ที่ทำงานกับจิตใจเราอย่างมากแม้เป็นเพียงเส้นเวลาสมมติที่แบ่งกั้นปีนี้และปีที่แล้วเพียงชั่วข้ามคืน นอกจากจะเป็นช่วงที่ดีในการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ แล้ว ก็อาจจะยังเป็นเวลาที่ดีที่จะย้อนกลับไปใคร่ครวญถึงสิ่งที่อยู่คู่กับการเริ่มต้นคือการดับสูญหรือในที่นี้ก็คือความตาย และสิ่งที่มาคู่กับความตายเสมอก็คืองานศพ ถ้าหากงานปีใหม่เป็นดั่งการจุดพลุแห่งความหวัง งานศพก็เหมือนกับเปลวเทียนที่ลุกไหวในความทรงจำ ทั้งสองต่างเป็นช่วงเวลาที่เราหยุดและมองชีวิตจากมุมที่แตกต่าง
มนุษย์มีชีวิตเคียงคู่กับงานศพมานานแสนนานนับตั้งแต่สมัยของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลจนถึงยุคปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคืองานศพในวัฒนธรรมต่าง ๆ มักถูกผูกเข้ากับศาสนาด้วยความเชื่อโลกหลังความตายอย่างตัดกันไม่ขาด อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันผู้คนนับถือศาสนาน้อยลงทุกวัน และมีแนวคิดสสารนิยม (Materialism) เข้ามามีบทบาทแทน สสารนิยมเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าไม่มีจิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ชีวิตมนุษย์ประกอบขึ้นจากวัตถุสสาร เมื่อตายไปก็เป็นเพียงการหยุดทำงานของร่างกายเท่านั้น โลกหลังความตายจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นการตายของผู้ไม่มีศาสนาก็อาจจะใช้คำว่า แล้วก็แล้วไป ไม่มีการชดใช้กรรมในนรกหรือเสพสุขเป็นนิรันดร์อยู่บนสรวงสวรรค์
หากลองมองให้ใกล้ตัว คนไทยส่วนใหญ่น่าจะมีความคุ้นเคยกับงานศพแบบพุทธ ซึ่งมีอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธนิกายเถรวาทที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยมาอย่างช้านาน เมื่อลองมองลึกเข้าไปอีกจะพบว่างานศพในแต่ละภาคยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน อย่างเช่นงานศพในภาคกลางมักจะจัดที่วัดและงานไม่ใหญ่โตมากนัก ขณะที่งานศพในภาคอีสานมักจะจัดที่บ้านเจ้าภาพและมีการกินเลี้ยง
สำหรับผู้ที่เติบโตมาในภาคอีสานคงจะคุ้นเคยกับงานศพแบบพุทธอีสานไม่มากก็น้อย พุทธอีสานในบริบทของงานศพหมายถึงการจัดงานศพโดยมีความเชื่อแบบพุทธผสมรวมกับความเชื่อแบบพราหมณ์และผีของพื้นถิ่นเข้าด้วยกัน อย่างเช่นประเพณีการจัดงานศพในจังหวัดมหาสารคาม เมื่อมีคนตายแล้วสมาชิกในครอบครัวก็จะมีพิธีอาบน้ำและแต่งตัวให้ศพเพื่อชะล้างให้ผู้ตายบริสุทธิ์ อีกทั้งอาจมีการจุดพลุหรือประทัดเพื่อแจ้งข่าวการตายให้ชาวบ้านทราบทั่วกัน งานศพในภาคอีสานมักจะจัดที่บ้านของผู้ตาย มีการสวดพระอภิธรรมตอนเย็นโดยจะสวดเป็นเวลา 3 5 7 หรือ 9 วันตามกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพ หลังจากสวดพระอภิธรรมเสร็จในแต่ละครั้งก็จะมีการเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อผู้มาร่วมงานก็เป็นอันเสร็จในแต่ละวัน หลังจากสวดพระอภิธรรมครบตามวันแล้ว จะมีการแห่จูงศพไปที่วัดเพื่อทำพิธีฌาปนกิจ ในระหว่างทางจะหว่านข้าวสารและข้าวตอกแตก (ข้าวเปลือกที่นำไปคั่วให้แตกคล้ายข้าวโพดคั่ว) หรืออาจจะหว่านกัลปพฤกษ์ร่วมด้วย เมื่อแห่ศพมาที่วัดแล้วจะเคลื่อนศพรอบเมรุสามรอบ จากนั้นครอบครัวและญาติรดน้ำหน้าศพด้วยน้ำมะพร้าวซึ่งเชื่อว่าเป็นน้ำที่มีความบริสุทธิ์ ต่อมาก็เคลื่อนศพขึ้นสู่เมรุ สวดบังสุกุลและเทศน์อานิสงส์ตามด้วยการเล่าประวัติผู้ตาย จนกระทั่งถึงพิธีฌาปนกิจก็จะนำร่างผู้ตายเข้าเตาเผาศพแล้วจึงให้ผู้เข้าร่วมวางดอกไม้จันทน์ เมื่อสัปเหร่อจุดไม้ขีดสุดท้ายเป็นอันเสร็จสิ้นในวันพิธี วันต่อมาจึงทำพิธีเก็บอัฐิก็เป็นอันจบขั้นตอนสุดท้าย ส่วนการจัดการกับอัฐินั้นบางครอบครัวอาจเก็บไว้ในธาตุที่วัด หรือบางครอบครัวอาจนำไปลอยอังคารก็ได้ อย่างไรก็ตามอาจมีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเพณีของหมู่บ้านหรือจังหวัดนั้น ๆ
คนไทยอาจจะเคยเห็นงานศพแบบพุทธจนชินตาตั้งแต่เล็กจนโต แต่หากลองกางแผนที่โลกออกมา ก็จะพบงานศพรูปแบบใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากมาย
นอกจากนั้นภายใต้โลกที่ขับเคลื่อนด้วยโลกาภิวัตน์และระบบทุนนิยมก็เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าผู้คนทั่วโลกโดยเฉพาะในโลกตะวันตกเริ่มมองหาการจัดงานรูปแบบใหม่อาจไม่ได้ยึดโยงกับศาสนาเท่าใดนัก เพื่อปรับตัวเข้ากับคุณค่าแบบใหม่ที่พวกเขายึดถือ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวโน้มการจัดงานศพในสหราชอาณาจักร จากการสำรวจของเว็บไซต์ Funeral Guide ในปี 2023 พบว่าชาวสหราชอาณาจักรกว่า 64.62% ต้องการจัดงานศพไม่อิงศาสนา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 51.61% ในปี 2022 นอกจากนี้ผลสำรวจยังบอกเราว่าผู้ทำแบบสำรวจส่วนมากต้องการงานศพที่มีความเรียบง่ายน่าเคารพ และมีบางส่วนต้องการงานศพที่สนุกสนานแต่งแต้มด้วยสีสัน
ข้อมูลดังกล่าวน่าจะกำลังส่งสัญญาณให้ทราบว่าโลกยุคใหม่อาจจะต้องการการบอกลาที่มีความหมายต่อบุคคลมากกว่าจะอยู่ใต้เสียงสวดมนต์อย่างที่เคยเชื่อและปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานหรือไม่
มีงานศพรูปแบบหนึ่งที่โฟกัสไปที่การยกย่องและบอกลาผู้ตาย มากกว่าที่จะยึดติดอยู่กับพิธีกรรม นั่นคือ ‘งานศพแบบมนุษย์นิยม’ (humanist funeral) เป็นงานศพที่ไม่อิงกับศาสนาที่มุ่งเน้นไปที่การบอกลาผู้ตายอย่างสมเกียรติไปพร้อม ๆ กับเฉลิมฉลองชีวิตที่ผ่านมาของผู้ตาย นำโดยผู้ประกอบพิธี (celebrant) ซึ่งผู้ประกอบพิธีจะเข้าไปพูดคุยกับครอบครัวหรือตัวผู้ตาย (ก่อนที่จะตาย) เพื่อร่วมกันออกแบบงานศพให้เหมาะสมกับผู้ตายมากที่สุด ทำให้ตัวงานศพสามารถมีพิธีการได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้ตายหรือครอบครัวต้องการ กลิ่นอายบรรยากาศจึงมีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์อย่างมาก บางคนอาจจะจัดงานคล้ายกับพิธีในศาสนาแต่ตัดส่วนที่เป็นศาสนาออกไป ในบางงานอาจจะจัดพิธีในโทนที่ร่าเริงและมุ่งเน้นไปที่การเฉลิมฉลองการมีชีวิต อาจจะจ้างวงดนตรีหรืออ่านบทกลอนบอกลาก็ยังได้ ไม่ว่าพิธีจะออกมาหน้าตาแบบไหน สิ่งสำคัญคือตัวพิธีจะสะท้อนตัวตนของผู้ตายออกมาอย่างลึกซึ้ง
ในสารคดี A Humanist Funeral (สามารถรับชมได้ทาง YouTube) แสดงให้เราเห็นงานศพของ ‘แคธี’ ซึ่งถูกจัดขึ้นคล้ายกับพิธีทางศาสนาคริสต์แต่ตัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาทิ้งไปทั้งหมด ภายในงานมีการเปิดรูปภาพและวิดีโอของเธออันเปี่ยมไปด้วยชีวิตและความทรงจำ สุดท้ายปิดพิธีด้วยเสียงทรัมเป็ตในทำนอง ‘Last Post’ อันเป็นทำนองที่จะเล่นในงานศพของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ หลังจากเผาศพ เถ้ากระดูกของเธอถูกนำมาโปรยที่สวนบ้านของเธอเคียงข้างเถ้ากระดูกของสามีผู้เป็นที่รัก งานศพของแคธีมีน้ำเสียงของการบอกลาพร้อมเฉลิมฉลองชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยหัวใจ
นอกจากนี้งานศพแบบมนุษย์นิยมยังเปิดโอกาสให้ผู้ตายเลือกวิธีกำจัดศพที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฝังตามธรรมชาติให้ศพกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงผืนดินดังได้กลับสู่รากเหง้า เช่น การฝังศพใต้ต้นไม้ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งในปัจจุบันก็มีบริษัทสตาร์ตอัปหลายเจ้าพยายามพัฒนาวิธีการเปลี่ยนศพให้กลายเป็นปุ๋ย โดยญาติสามารถนำกลับไปใส่กระถางต้นไม้ที่บ้านก็ยังได้ หรือการบริจาคร่างกายก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่อยากทำประโยชน์ให้โลกแม้จะตายไปแล้ว
ผมในวัยย่างยี่สิบเอ็ดปีผู้ไม่นับถือศาสนาเคยครุ่นคิดถึงหน้าตาของงานศพตัวเองหลายครั้ง ลองจินตนาการภาพงานศพเล็ก ๆ ที่เปิดหนังที่เราชอบดู เพลงที่ชอบฟัง ให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงมานั่งกินอาหารคล้ายงานสังสรรค์โต๊ะจีน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นชวนระลึกถึง และมีความเป็นไปได้อื่น ๆ ตามแต่ละคนจะเลือกสรร น่าเสียดายที่ในประเทศไทยตอนนี้ยังหาผู้รับจัดงานศพในลักษณะนี้ได้ยาก เพราะทางเลือกในการจัดงานศพและจัดการศพในประเทศไทยยังไม่ได้หลากหลายมากนัก อาจจะเป็นเพราะศาสนาพุทธที่ฝังรากลึกลงในวัฒนธรรมประเพณีของไทยอย่างแนบแน่น บวกกับวัฒนธรรมของไทยที่มักจะยึดติดกับตัวพิธีจนมองข้ามคุณค่าที่แท้จริงอย่างการบอกลา อีกทั้งการไม่นับถือศาสนาก็ยังคงเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย ดังนั้นผมมองว่าการเพิ่มตัวเลือกให้มากขึ้นจึงสำคัญ เพราะมันจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้แก่สังคมเข้าใจแนวคิดที่แตกต่าง พร้อมสร้างค่านิยมใหม่ ๆ และช่วยให้ค้นพบสิ่งที่เหมาะสมกับคุณค่าที่ตนยึดถือ
ผมหวังว่าท่ามกลางแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนี้ประเทศไทยจะมีทางเลือกในการจัดงานศพอย่างงานศพแบบมนุษย์นิยมหรือรูปแบบอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อที่จะสอดรับกับความหลากหลายในยุคใหม่ พร้อมมอบการจากลาที่มีความหมายที่ไม่ใช่ผ่านพิธีกรรมแบบเดิม แต่ผ่านเรื่องราวชีวิตที่ไม่เหมือนใครของผู้ล่วงลับ
อ้างอิง
https://thematter.co/social/simple-and-peaceful-funeral-trend/158227
https://www.funeralguide.co.uk/blog/funeral-survey-2023-uk-publics-perfect-funeral
https://www.matichonweekly.com/column/article_220157
รู้จัก Human Composting ตายแล้วเป็นปุ๋ย ทางเลือกใหม่ของการจัดการศพอย่างยั่งยืน