เรื่อง: สุธิดา วุฒิกร
ในความคิดของ หลายคนอาจจะมองศาสนาเป็นสิ่งที่ถูกแยกออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะหากมองไปที่นักบวชของศาสนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ บาทหลวง พราหมณ์ หรือว่าอิหม่าม เป็นต้น หลายคนย่อมมีภาพในใจว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ควรที่จะมาข้องเกี่ยวกับการเมืองเนื่องจากเป็นเรื่องของทางโลกซึ่งนักบวชควรจะละทิ้งเพื่อปฏิบัติตนตามครรลองของศาสนาต่างๆ อย่างจริงจัง
แต่จริงหรือ ที่ศาสนากับการเมืองเป็นคนละเรื่องกัน
ในวันนี้ เราจะมาทำความเข้าใจในคำสอนของศาสนาต่างๆ โดยผ่านคำบอกเล่าของตัวแทนผู้เชี่ยวชาญของศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม ถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนานั้นๆ กับประเด็นด้านการเมือง ว่ามีความเกี่ยวข้องหรือไม่ และหากเกี่ยวข้อง จะเกี่ยวข้องในรูปแบบใด
คุยกับอิหม่ามและอนุกรรมการมัสยิด
หากพูดถึงผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาอิสลาม สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คืออิหม่าม หรือผู้สอนศาสนาอิสลาม ผู้เขียนได้มีโอกาสได้คุยกับอิหม่ามสุธี เกตุประสิทธิ์ และเหล่าคณะอนุกรรมการสตรีประจำมัสยิดยามีอุลอิสลามรามคำแหง ถึงความเกี่ยวข้องของศาสนาอิสลามและการเมือง และได้ทราบว่าในคำสอนของคัมภีร์อัลกุรอ่านเอง ก็ได้มีการหยิบยกกรณีศึกษาที่เกี่ยวพันกับการเมืองในสมัยนั้นโดยตรงมากล่าวถึงเอาไว้ด้วย
อิหม่ามได้เล่าให้ฟังว่า ศาสนาอิสลามนั้นให้ความสำคัญกับความสามัคคีและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และได้กล่าวเสริมว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง สำหรับศาสนาอิสลามนั้นสามารถทำได้ หากว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ดี และเป็นการช่วยเหลือให้ไม่ให้ผู้คนแตกแยกกัน
“ก็เกิดการให้ อะตีอุลลอฮ วะอะตีอุรรอซูลุ วะอุลิลอัมริมินกุม นั่นก็หมายถึงว่า ให้เชื่อฟังอัลเลาะห์ ให้เชื่อฟังศาสนฑูต แล้วก็ผู้นำของท่าน และก็ผู้นำก็หมายถึงบรรดาผู้นำทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำที่เขาไม่ ซอเล็ม ก็หมายถึงว่าเขาไม่คิดร้ายกับเรา” อิหม่ามสุธีกล่าว และได้เสริมว่า แต่หากผู้นำนั้นเป็นผู้นำที่ไม่ดี ไร้ซึ่งความยุติธรรม การออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวมุสลิมนั้น ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของศาสนาแต่อย่างใด
นอกจากนี้เหล่าคณะอนุกรรมการสตรีประจำมัสยิดก็ได้กล่าวเสริมอีกว่า มุมมองทางด้านการเมืองนั้นถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีความเปิดกว้างในเรื่องการนับถือศาสนาและความเท่าเทียมทางเพศ แต่หากจะมองในมุมของศาสนาอิสลามแล้ว แนวคิดที่สำคัญของศาสนานั้นก็ได้แสดงออกโดยผ่านคำทักทายของชาวมุสลิมที่แปลได้ว่า ‘ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน’ ซึ่งการที่ศาสนามอิสลามได้รับการยอมรับในประเทศไทยเท่าเทียมกับทุกศาสนา ชาวมุสลิมจึงได้ให้เกียรติกับผู้นับถือศาสนาอื่นๆ อย่างเท่าเทียมด้วย
“ตอนนี้พี่ว่ามันมองกันคนละมุม คือนักศึกษาอายุ 21-22 แต่พวกป้านี่ 50 60 เพราะฉะนั้นมันหายไป 30 ปี” เหล่าคณะอนุกรรมการสตรีต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกัน พร้อมทั้งเสนอว่าการหันมาปรับความเข้าใจในช่วงเวลา 30 ปีที่หายไปจากทั้งสองฝ่าย คือทางออกที่ดีที่สุดของความขัดแย้ง
คุยกับตัวแทนคริสตชน
นอกจากศาสนาอิสลามแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าศาสนาคริสต์เองก็เป็นหนึ่งในศาสนาที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังมีผู้นับถืออยู่ในทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่จะมาให้ข้อมูลกับเราในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านคริสตศาสนาในครั้งนี้คือ ราฟาแอล สิทธินันท์ จิรบุษบกุล อดีตประธานสภานิสิตนักศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย
สิทธินันท์ได้เริ่มต้นเกริ่นว่า ศาสนาคริสต์แต่เดิมแล้วมีรากฐานมาจากศาสนายิวซึ่งเป็นศาสนาที่ใช้ในการปกครองบ้านเมืองเป็นทุนเดิม ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าตัวของศาสนานั้นมีความผูกพันกับการเมืองในสมัยโบราณโดยตรง และนอกจากนี้ในพระคัมภีร์ยังบอกเล่าถึงปัญหาด้านการเมืองในสมัยก่อนซึ่งปุโรหิตเป็นผู้ผูกขาดอำนาจทางศาสนาเอาไว้ และนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระเยซูต้องเสียชีวิตจากการถูกตรึงกางเขน
สิทธินันท์ได้เล่าให้ฟังว่าคำสอนของศาสนาคริสต์พื้นฐานนั้นมีอยู่สองข้อหลักๆ นั่นคือรักพระเจ้าสุดหัวใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง และกล่าวว่าการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นก็ถือเป็นการปฏิบัติตนในแนวคิดการรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผิดจากหลักศาสนา แต่เป็นสิ่งที่ควรกระทำเสียด้วยซ้ำไป
“คริสตชนทุกคนควรจะต้องใส่ใจกับปัญหาทางการเมือง ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ควรที่จะ take action ทางการเมืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเสนอความเห็น หรือยิ่งเป็นนักการเมืองได้ก็ยิ่งดี” สิทธินันท์กล่าว
ทว่าถึงแม้ศาสนาคริสต์จะดูเหมือนสนับสนุนให้ศาสนิกชนออกมามีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ในบริบทของประเทศไทย สิทธินันท์ได้กล่าวว่าความขัดแย้งในด้านความคิดเห็นของชาวคริสต์เองก็มีไม่ต่างจากผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ทั้งในด้านที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่จะนำศาสนาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งบ้างก็ว่าทั้งสองสิ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน และบ้างก็ว่าการเอาศาสนาไปเกี่ยวข้องกับการเมืองจะทำให้ศาสนากลายเป็นสิ่งที่มัวหมอง เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว สิทธินันท์ยังได้ทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยการแนะนำหนังสือและชื่อของนักบุญสำหรับศึกษาเพิ่มเติมในหัวข้อคริสตศาสนากับการเมืองไว้ด้วย โดยหนังสือที่เขาแนะนำนั้นมีชื่อว่า ‘Jesus Before Christianity’ และชื่อของนักบุญก็คือ Óscar Romero
คุยกับหลวงพี่ Activist
สำหรับศาสนาพุทธ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านหลักคำสอนของศาสนาก็คือพระสงฆ์ซึ่งอุทิศชีวิตให้กับทางธรรม ทว่าในเหตุการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายครั้ง ประชาชนก็จะได้เห็นพระสงฆ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเหล่านั้นด้วย สิ่งนี้อาจจะทำให้หลายคนสงสัยว่า แท้จริงแล้วพระสงฆ์สามารถออกมาร่วมกิจกรรมเหล่านี้ได้หรือไม่ คำตอบเหล่านี้ได้รับการตอบโดยพระชาย วรธัมโม พระสงฆ์นักคิดที่สนใจในประเด็นรัฐศาสตร์ในพุทธศาสนา
หลวงพี่ได้วิเคราะห์บริบทการถือกำเนิดของศาสนาพุทธให้ฟังโดยย้อนไปตั้งแต่สมัยพุทธกาล ณ ขณะนั้นในบริเวณอารยธรรมอินเดีย ศาสนาพราหมณ์ฮินดูถือว่าเป็นศาสนาที่ได้รับการนับถืออย่างแพร่หลายโดยประชาชนและกษัตริย์ของเมืองต่างๆ ซึ่งสิ่งนี้รวมไปถึงความเชื่อด้านการแบ่งชนชั้นวรรณะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครองในสมัยพุทธกาลด้วย
“จริงๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ได้เกิดมาเพื่อทำลายล้างระบบวรรณะ” หลวงพี่กล่าว และด้วยสาเหตุนี้ การเกิดขึ้นของศาสนาพุทธจึงมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบการเมืองในสมัยก่อนโดยตรง เนื่องจากเมื่อเข้ามาบวชเป็นภิกษุนั้น หมายถึงการหลุดออกมาจากระบบวรรณะทั้ง 4 ของศาสนาพราหมณ์
แม้ว่าการกำเนิดขึ้นของพุทธศาสนาจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับปัจจัยทางการเมือง ทว่าหลวงพี่ก็ได้เสริมว่าศาสนาพุทธเองนั้นก็ได้มองการเมืองว่าเป็นสิ่งที่ต้องระวังในการเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเช่นกัน
“การเมืองเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะว่าการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ” หลวงพี่กล่าว พร้อมยกกรณีศึกษาเป็นเหตุการณ์ที่พระเทวทัตทูลขอพระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์งดเว้นการทานเนื้อสัตว์ แต่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ เนื่องจากพระพุทธเจ้าเล็งเห็นว่าพระเทวทัตต้องการใช้ศาสนาของพระองค์ในการแผ่ขยายอำนาจของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่อยากให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้พระพุทธเจ้านั้นยังได้ทำให้พระธรรมเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนยึดถือ โดยถือว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ท่านลงรากปักฐานไว้เรียบร้อยแล้ว และไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาบุคคลใดๆ ในการเป็นศูนย์กลางเพื่อบรรลุธรรม หรือหมายความอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนสามารถบรรลุธรรมได้โดยการศึกษาพระธรรมด้วยตนเอง
แตกต่างแต่เหมือนกัน
แม้ว่าในแต่ละศาสนาจะมีมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกันไปตามบริบทของคำสอนและประวัติศาสตร์ ทว่าก็ไม่มีศาสนาใดได้ปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง การจะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของศาสนิกชนรวมถึงนักบวชของแต่ละศาสนาที่ได้รับการยอมรับตามคำสอน ล้วนมีหลักสำคัญอยู่ที่ความต้องการให้คนในสังคมได้รับการปกครองด้วยความถูกต้อง ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการแสวงหาอำนาจของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือสถานการณ์ปัจจุบันของการเมืองในประเทศไทยนั้นกำลังมีการต่อสู้กันระหว่างอุดมการณ์ทางความคิดที่ไม่ตรงกัน ซึ่งการตีตราว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดหรือถูกนั้นไม่ใช่สิ่งจะนำไปสู่บทสรุปของปัญหา การยอมรับการมีอยู่ของความคิดเห็นอีกฝ่ายและออกมาทำความเข้าใจซึ่งกันและกันน่าจะเป็นวิธีการหนึ่งที่อาจสามารถลดช่องว่างของความแตกต่างลง และพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าได้
เพราะพวกเราทุกคนคือมนุษย์เช่นเดียวกัน