เรื่อง : ณัฐกมล สิทธิวงศ์
ภาพประกอบ : ปาณิสรา ช้างพลาย
“ตอนนี้จินนี่อายุ 21 ก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นข้อจำกัดอะไรในการทำอาชีพนี้ หมอดูบางท่านถึงจะอาบน้ำร้อนมาก่อน มีประสบการณ์ชีวิต หรือผ่านโลกมาเยอะกว่าเรามากก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นโลกทุกมุมหรอก”
คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะได้ยินประโยคมั่น ๆ แบบนี้ออกมาจากปากวัยรุ่นคนหนึ่ง และต่อให้เธอคนนั้นจะเป็น “หมอดู” ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอีกเช่นกัน เมื่อในยุคนี้ “การดูดวง” เป็นทั้งศาสตร์และเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยอย่างล้นหลาม และไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็สามารถเรียนรู้ที่จะเป็นหมอดูในแบบของตัวเองได้ทั้งนั้น
แล้วหมอดูที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณนี้ มีความน่าสนใจตรงไหน
คัธริน อิงค์สกุลสุข หรือ ‘จินนี่’ เป็นนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัยสหวิทยาการ สาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (PPE) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ท่าพระจันทร์ ด้วยเวลาเพียง 3 ปีครึ่ง และคว้าเกียรตินิยมมาได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เธอเป็น Ambivert เหมือนกับมนุษย์วัยรุ่นทั่ว ๆ ไป ที่สนุกกับการออกไปใช้ชีวิตข้างนอก พบปะสังสรรค์กับผู้คนเพื่อทำความรู้จักและเรียนรู้วิธีคิดของพวกเขา แต่เมื่อไรที่อยู่ตัวคนเดียวที่บ้าน ก็จะอยู่ในโหมดเงียบ ไม่พูดจากับใครทั้งวัน และอ่านหนังสือที่ชอบโดยเฉพาะในหมวดจิตวิทยา
อันที่จริงแล้ว หลังเรียนจบช่วงแรก ๆ นั้น อาชีพนักจิตวิทยาคือสิ่งที่เธอตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นให้ได้ แต่ด้วยเหตุผลและจังหวะต่าง ๆ ในชีวิตที่มาประกอบเข้าด้วยกัน ก็ทำให้เธอผันตัวมาเป็น “หมอดู” และสร้างเพจเฟซบุ๊กที่มีชื่อว่า “Sora Tarot” เพื่อเปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการดูดวงได้จนถึงทุกวันนี้
ก่อนจะมาทำอาชีพ “หมอดู” ภาพในหัวที่มีต่อคนทำอาชีพนี้เป็นยังไง
เรามองว่าน่ากลัว คุกคาม ภาพที่เห็นคือป้าแก่ ๆ ที่ทักเราในเรื่องที่ไม่ดีทั้งหลาย เคยไปนั่งดูดวงกับป้าแล้วโดนทักว่า ‘อายุถึงแค่ 40 เดี๋ยวก็ตายแล้ว’ อะไรแบบนี้ แต่พอไปศึกษาจริง ๆ มันมีเรื่องของจรรยาบรรณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เดี๋ยวนี้หมอดูหลายท่านชอบทักในเรื่องที่ไม่ควรจะทักเพื่อดึงดูดความสนใจของคน ทำให้พอเรามาเป็นหมอดูเองแล้ว เราจะไม่ทักลูกดวง (ลูกค้า) ในเรื่องที่แย่ ทำพฤติกรรมที่ไม่ดีใส่ ใช้คำพูดที่เร่งเร้าหรือหยาบคายกับเขาเด็ดขาด แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องเตือนเขาจริง ๆ เราก็จะใช้คำในเชิง “ไม่แนะนำให้…”แทน เพื่อบอกให้เขารู้ว่าควรเลี่ยงหรือระวังเรื่องอะไรบ้าง
อะไรคือเหตุผลที่เข้าสู่วงการนี้ แล้วตัดสินใจยึดหมอดูเป็น “อาชีพหลัก” ตั้งแต่เมื่อไร
ช่วงปี 1 เราเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงมาก ตอนนั้นมีแต่คำว่าอยากตายแวบเข้ามาในหัว ก็ถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าฉันจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อใคร (วะ) แถมยังหยุดกินยา (ต้านซึมเศร้า) ไปพักหนึ่งด้วย เพราะมันทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มจนรู้สึกเสียเซลฟ์มาก ยังคิดอยู่เลยว่าไม่น่าจะหายได้หรอก จริง ๆ เรารู้ตัวว่าเป็นซึมเศร้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว สภาพจิตใจเลยไม่ไหวมากช่วงนั้น
จนวันหนึ่งเพื่อนลากไปดูดวง แล้วหมอดูทักว่าเราดูดวงได้นะ เราก็แปลกใจ ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีเซนส์ในด้านนี้ คิดว่าไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้ แต่หลังจากนั้นเราก็ไปดูดวงกับหมอดูอีกท่าน ที่ตอนนี้กลายมาเป็นอาจารย์ที่ให้คำปรึกษาเรื่องดูดวงกับเราไปแล้ว เขาเช็คดวงให้เราแล้วบอกว่า มีแววจะไปได้ไกลในสายนี้นะ ก็เลยลองเปิดใจดู พอเริ่มดูดวงให้คนอื่น แล้วมีคนเข้ามาดูกับเราอยู่เรื่อย ๆ มันรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม เพราะมันไม่ใช่แค่การดูดวงให้คนอื่นแล้วก็จบ แต่มันมีติของการได้ช่วยคน ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจ
ส่วนเหตุผลที่ทำให้อยากเป็นหมอดูอย่างเต็มตัวเลยก็เพราะว่า เราอยากปฏิวัติวงการหมอดู โดยเฉพาะเรื่องภาพลักษณ์หรือ mindset บางอย่าง จินนี่อยากลบภาพจำที่ว่าคำทำนายเป็นเรื่องที่เน้นจิตวิทยาเกินไป เพราะเราอยากให้มันเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย หรืออย่างที่บอกไปว่าหมอดูที่เคยเจอจะชอบหงุดหงิดใส่ลูกดวง ใช้คำพูดที่ไม่ดีกับเขา เหมือนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำกับใครทั้งนั้น แต่ก็เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเรื่องแล้วแต่บุคคล ไม่ได้มีผิดถูก 100% เราแค่รู้สึกว่าคนเป็นหมอดูควรจะเปิดใจฟังให้มาก มองลูกดวงเป็นเพื่อนที่อยากช่วยเหลือ ไม่ใช่มองเขาเป็นแค่ลูกค้าที่เอาเงินมาให้ อย่าคิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องของผลประโยชน์หรือกำไร
เรามองว่ามันเป็นธุรกิจที่ทำให้คนประสบความสำเร็จได้นะ แต่สำหรับอาชีพนี้ที่รายได้อยู่ในลักษณะของ “ค่าครู” โดยส่วนตัวจินนี่ มองว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องเก็บค่าครูจากลูกดวง และต้องแบ่งเงินจากส่วนนั้นไปทำบุญด้วย เพราะการดูดวงถือเป็นการไปรับกรรมของคนอื่นมา เราไปข้ามเส้นชีวิตคนอื่น ไปเห็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาแล้ว มันจะเข้าตัวเราได้
จุดร่วมและจุดต่างของคนที่ทำอาชีพหมอดูซึ่งอยู่ในวัยใกล้เคียงกับจินนี่ คืออะไร
จุดร่วมคงเป็นความรู้สึกที่อยากช่วยให้ผู้คนหาคำตอบในชีวิตที่วุ่นวายของพวกเขา ด้วยความที่ยุคนี้เป็นยุคที่คาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ คนส่วนใหญ่เครียดกับหลาย ๆ เรื่อง แล้วเวลาคนเครียดก็คงทำอยู่ไม่กี่อย่างหรอก ไม่ไปนวด ไปเที่ยว ก็ต้องไปดูดวง มันเป็นสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ อย่างลูกดวงที่มาดูดวงกับเรา 80% จะเชื่อในเรื่องการดูดวงอยู่แล้ว ส่วนอีก 20% ที่ไม่เชื่อก็คืออยากมาลองดูเฉย ๆ แต่พอได้ฟังคำทำนายแล้วเห็นว่ามันตรงกับตัวเองจริง ๆ ก็กลายเป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงไปเลย
จุดที่ทำให้เราไม่เหมือนกับหมอดูคนอื่นน่าจะเป็นเพราะเราเข้ากับคนได้ง่าย ลูกดวงส่วนใหญ่มักบอกว่าเขารู้สึกสบายใจ รู้สึกดีที่ได้คุยกับเรา เลยคิดว่าจริตก็คงเป็นเรื่องที่แตกต่างกันไปในหมอดูแต่ละคน อีกเรื่องก็น่าจะเป็นศาสตร์ที่ใช้ จินนี่จะรับดูดวงอยู่ 2 ศาสตร์ด้วยกันก็คือ ไพ่ทาโรต์ กับอักษรรูนส์ ซึ่งอย่างหลังคนไทยน่าจะไม่ค่อยรู้จัก แล้วก็อาจจะสงสัยว่ามันเชื่อถือได้มั้ย ให้ผลแม่นรึเปล่า แต่โดยส่วนตัวแล้วเราชอบการทำนายด้วยอักษรรูนส์มากกว่า มันเป็นศาสตร์ที่ ‘ดุ’ กว่าไพ่ทาโรต์มาก มักจะให้คำทำนายสั้น ๆ ห้วน ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนคนแก่ดี เพราะเวลาที่คนแก่ให้คำแนะนำอะไรแล้วมักไม่ค่อยมาอธิบายต่อให้มันยืดยาว แต่เราจะเลี่ยงดูดวงศาสตร์นี้แบบเพียว ๆ ให้กับคนส่วนใหญ่นะ เพราะเคยทำลูกดวงร้องไห้มาแล้ว ยกตัวอย่างก็เช่น ถ้าเราถามอักษรรูนส์ซ้ำ ๆ ด้วยคำถามที่ไม่น่าถาม มันก็จะให้คำตอบกลับมาทำนองว่า ที่ถามมาเนี่ยคิดบ้างแล้วรึยัง เวลาถามเลยต้องถามให้ชัด ๆ ตรงประเด็นไปเลย แบบธุรกิจที่ทำอยู่ ดีหรือไม่ดี อะไรประมาณนั้น บางทีก็หาคำพูดมาอธิบายให้ลูกดวงฟังยากเหมือนกัน แต่ก็จะแก้ปัญหาด้วยการเปิดไพ่ทาโรต์คู่กันไปด้วย เพราะไพ่ทาโรต์จะให้รายละเอียด และลงลึกในประเด็นที่ถามได้ดีกว่า
อีกอย่างก็คือ เรารับดูดวงให้กับสัตว์เลี้ยงด้วย จริง ๆ แค่ส่งภาพมาให้เราดูก็พอจะบอกได้แล้วว่าหมาแมวตัวนั้นมีนิสัยยังไง แรก ๆ เราก็ไป research ดูเหมือนกันว่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้มีดวงมั้ย คำตอบก็คือมี และสิ่งมีชีวิตแรกที่เราลองดูดวงให้ก็คือหมาที่บ้าน มันสามารถดูได้ว่าสัตว์เลี้ยงมองเจ้าของแบบไหน ซึ่งหมาที่บ้านมันก็เห็นเราเป็นแค่คนที่ซื้อขนมให้มันกินเท่านั้น (หัวเราะ)
การเป็นหมอดูที่อายุน้อย มีข้อจำกัดในเรื่องประสบการณ์มั้ย
ตอนนี้จินนี่อายุ 21 ก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นข้อจำกัดอะไรในการทำอาชีพนี้ หมอดูบางท่านถึงจะอาบน้ำร้อนมาก่อน มีประสบการณ์ชีวิต หรือผ่านโลกมาเยอะกว่าเรามากก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นโลกทุกมุมหรอก เพราะอย่างตัวเราเองตั้งแต่เกิดมาก็ผ่านอะไรมามาก บางเหตุการณ์ก็แทบจะเป็นเฮือกสุดท้ายในชีวิตของเราแล้ว ผู้ใหญ่บางคนคงไม่เคยเจอประสบการณ์แบบที่เราเจอมาแน่ ๆ และถึงแม้ว่าเราจะอายุน้อย แต่คนที่มาดูดวงกับเรามีด้วยกันหลายช่วงวัยมาก อายุโดยเฉลี่ยคือมีตั้งแต่ 24-35 ปี มากสุดที่เคยดูดวงให้ก็อายุ 50 ปี และส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง ซึ่งจริง ๆ ไม่ว่าลูกดวงจะเป็นคน Gen ไหน ทัศนคติของพวกเขาแทบไม่ได้ต่างกันเลย และหลายครั้งมันก็สะท้อนให้เห็นผ่านสิ่งที่พวกเขาถามนั่นแหละ สิ่งที่ต่างกันจริง ๆ ของลูกดวงน่าจะเป็นเรื่องค่านิยมมากกว่า อย่างเช่น ลูกดวงที่เป็นคนรุ่นเดียวกับเราก็มักจะมองว่าการสร้างแบรนด์สักแบรนด์หนึ่งของตัวเองขึ้นมาได้ ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ในขณะที่ลูกดวงที่มีอายุมากขึ้น ถัดจากเราไปอีก Gen ก็จะมีความลังเลในเรื่องหน้าที่การงาน ใจหนึ่งก็อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจเอง อีกใจหนึ่งก็ยึดติดกับงานประจำ เพราะมองว่ามั่นคงกว่า มันเลยเป็นเหมือนเส้นแบ่งระหว่างความเป็น Gen เรา กับผู้ใหญ่วัยเขา ที่บางทีก็ทำให้การพูดคุยกันมันยาก เพราะบางทีเขายังยึดติดอยู่กับแค่แนวคิดนั้น ๆ และไม่ยอมเปิดใจฟัง
เมื่อการดูดวงตั้งอยู่บนพื้นฐาน “ความเชื่อ” ของผู้คน แล้วตัวจินนี่เองเลือกที่จะ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ในเรื่องไหนบ้าง
มันเป็นช่องว่างที่เราก็ไม่รู้จะตอบตัวเองยังไงเหมือนกัน คือจริง ๆ นี่เป็นคาทอลิก (นิกายหนึ่งในศาสนาคริสต์) แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือก็มีหลายอย่างปนกันไป ทั้งพระ พญานาค พระพิฆเนศ เทพต่าง ๆ ที่นับถืออยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับต้องมีรูปเคารพ หรือจัดโต๊ะหมู่บูชาถวายเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น อย่างมากทุกวันพระก็แค่ซื้อพวงมาลัยไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เราไม่ลบหลู่เรื่องพวกนี้ เพราะเราเชื่อว่ามีอยู่จริง
ส่วนสิ่งที่ไม่เชื่อ ก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้กรรม โดยส่วนตัวแล้วเรามองว่ามันเป็นไปไม่ได้ มองว่ากรรมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรมันได้แล้ว เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในอดีตทำกรรมอะไรไว้หรือเป็นใครแน่ ซึ่งถ้าจำไม่ได้ว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง แล้วจะยังถือว่ามีความผิดจากการทำสิ่งนั้นอยู่อีกรึเปล่า ในขณะที่ดวงมันคือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เป็นเรื่องของชีวิตปัจจุบัน เราเลยไม่แนะนำให้ลูกดวงต้องไปทำพิธีอะไรแบบนี้
มันจะมีอีกความเชื่อหนึ่งที่เขาพูดกันว่า การดูดวงซ้ำ ๆ หรือถี่มาก ๆ จะทำให้ดวง ‘ช้ำ’ ได้ เราอยากจะบอกว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่ช้ำไม่ใช่ดวงหรอก แต่เป็น ‘ใจ’ เราเองนี่แหละที่ช้ำ การดูดวงบ่อย ๆ มันสร้างความวิตกกังวลให้กับคนที่ดู ลองคิดว่าถ้าสมมุติวันนี้คำทำนายบอกว่าฉันจะได้เงิน แล้วมันก็ได้จริง ๆ วันต่อมาก็ได้แต่จดจ่ออยู่กับคำทำนายว่ามันจะบอกอะไรอีกบ้าง สุดท้ายพอดูบ่อย ๆ เข้า ก็จะขาดความมั่นใจหรือสูญเสียความเป็นตัวเองไป เราจะกลายเป็นใครล่ะ ถ้าไม่ได้เชื่อในความคิดหรือการกระทำของตัวเอง แต่ดันเชื่อในสิ่งที่ไพ่บอกมากกว่า เพราะแบบนั้นเราเลยไม่แนะนำให้ใครดูดวงถี่ อย่างน้อยก็ควรเว้นระยะสามเดือนต่อครั้ง
ในยุคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับเรื่องความเป็นส่วนตัว (privacy) และเรื่องสุขภาพจิต (mental health) มากเป็นพิเศษนั้น มีผลต่อการทำอาชีพหมอดูของจินนี่บ้างมั้ย
สำหรับจินนี่เอง การรักษาความเป็นส่วนตัวให้ลูกดวงเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่ต่างอะไรกับนักจิตวิทยาเลย เพราะคงไม่มีใครโอเคหรอกถ้าเราเอาเรื่องของเขาไปบอกให้คนอื่นฟัง พูดแล้วอาจฟังดูโลกสวย แต่เรามองว่าการดูดวงเป็นเหมือนการรักษาแผลในจิตใจที่คนปกติอาจมองไม่เห็นจนเข้าใจผิดว่ามันไม่ได้มีอยู่จริง เช่น บางคนอาจโดนเจ้านายว่ามา ถูกคนพูดจาทำร้ายจิตใจใส่ หรือทะเลาะกับแฟนในเรื่องที่เถียงกันมานานมากแล้ว บางทีคนเราเจอหน้ากันก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายมีบาดแผลซ่อนอยู่ข้างในมากแค่ไหน เมื่อมันมองเห็นไม่ได้ด้วยตา เราเลยต้องใช้ใจฟังถึงจะรู้ว่าเขาเจอกับอะไรมาบ้าง ซึ่งการที่มีไพ่เป็นสื่อกลางมันทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องเองทั้งหมด เพราะบางคนก็ไม่ได้อยากพูดถึงปัญหา หรือเรื่องที่ไม่สบายใจซ้ำไปซ้ำมา มันจะกลายเป็นว่ายิ่งพูดบ่อย ๆ ยิ่งไปขยี้บาดแผลในจิตใจให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม
สุขภาพจิตของคนมันสำคัญมากนะ ถ้าสุขภาพจิตดี มันก็ทำให้สุขภาพกายดีไปด้วย บางทีเจอคนมาพูดคำไม่ดีใส่ วันนั้นทั้งวันก็อาจกลายเป็นวันที่แย่ของใครบางคนไปเลยก็ได้ แต่ถ้าการที่เขามาดูดวงกับเรา มันช่วยทำให้เขาเห็นข้อดีของตัวเอง หรือมีกำลังใจเพิ่มขึ้นบ้าง วันนั้นก็อาจกลายเป็นวันดี ๆ อีกหนึ่งวันในชีวิตของเขา เราอยากมอบวันดี ๆ พวกนั้นให้กับใครสักคน ให้มันติดอยู่ในใจเขาไปนาน ๆ เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้มองย้อนกลับมาและรู้ว่าถึงเราจะไปอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้ แต่แค่หันหลังมาก็จะเจอจินนี่อยู่ตรงนี้ ในวันที่เลวร้ายอย่างน้อยคุณก็ยังมีเราอยู่เป็นเพื่อน จากแต่ก่อนที่เราอยู่ตัวคนเดียว แต่มาวันนี้เราอยู่เพื่อคนอื่นได้แล้ว
สุดท้าย ในฐานะหมอดูที่เป็นคนรุ่นใหม่ อยากให้คนทั่วไปมองอาชีพนี้อย่างไร
อยากให้มองว่า มันไม่ใช่อาชีพที่แย่ หรือเข้าไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าหมอดูและลูกดวงต่างมองว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เวลาที่ไม่สบายใจหรือคิดอะไรไม่ออกก็แค่ถาม หรือให้คำปรึกษากัน ชีวิตมันก็แค่นี้ บางเรื่องที่ไม่กล้าเล่าให้เพื่อนจริง ๆ ฟัง พอเอามาปรึกษากับหมอดูก็อาจทำให้สบายใจได้ อย่าไปกลัวว่าถ้าหมอดูไม่พอใจแล้วจะทำของใส่ มันมีจรรยาบรรณอยู่ และทุก ๆ คำทำนายก็ไม่ได้มาจากตัวหมอดูโดยตรงอยู่แล้ว แต่มันสื่อสารผ่านไพ่ที่เป็นตัวกลางก็เท่านั้น ท้ายที่สุดการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนอยู่ดี
‘ดวง’ เป็นเพียงแค่ 30% ของชีวิตเรา ส่วนการกระทำคืออีก 70% ที่เหลือ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อตามที่คำทำนายบอกก็ได้ แต่ถ้าลองทำแล้วมันเกิดผลลัพธ์ที่ดี ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่