เรื่องและภาพประกอบ: จุฑาภัทร ทิวทอง
นักช็อปสายบิวตี้อาจเคยสังเกตหลายแบรนด์ที่ออกเครื่องสำอางคอลเลกชันใหม่กันแทบทุกเดือน พร้อมเหล่าอินฟลูมากมายที่โฆษณากันเกรียวกราวว่า ‘ของมันต้องมี’ พ่วงกับโปรโมชันลดราคาที่ดูเหมือนจะจำกัด แบบที่นานๆ ครั้งจะมาที ทั้งที่ในความเป็นจริงก็วนมาอยู่ทุกเดือน
หลายคนก็อาจเป็นเหมือนฉัน ที่ตื่นเต้นทุกคราเมื่อได้เห็น ได้ดู และได้ยินปรากฏการณ์ข้างต้น สุดท้ายก็เผลอใจกดสินค้าลงตระกร้าในแอปสั่งของออนไลน์แทบทุกครั้งไป จนเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง มองไปรอบๆ ห้อง ก็เห็นเครื่องสำอางเป็นกองพะเนินละลานตาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแป้ง ลิปสติก ลิปกลอสสีชมพูโทน MLBB, นู้ดส้ม, แดงเข้มอมเย็น, ม่วงนางฟ้าอ่าวไทยและอีกมากมาย แต่ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่พวกมันได้ออกมาละเลงแต้มสีสันบนริมฝีปากฉันได้ไม่ถึงสิบครั้ง
ไหนจะ ‘เงิน’ ที่ใช้จ่ายเพื่อได้ครอบครองสารพัดของกุ๊กกิ๊กเหล่านี้ รวมๆ แล้วทำใจฉันเจ็บแปล๊บ ซ้ำเติมความช้ำด้วยระบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ที่ทำลายความฝันอายุน้อยร้อยล้าน กลายเป็นอายุ(ไม่)น้อยร้อยหนี้ไปเสียแล้ว
ฉันจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่เรามาถึงจุดที่เครื่องสำอางล้นห้อง สวนทางกับรายรับได้ยังไงกันและจะมีวิธีใดบ้างที่จะสามารถทุเลาวังวนตลกร้ายของพฤติกรรมกดของลงตระกร้าแสนดุดันเยี่ยงสัตว์ป่า ที่ดูแล้วในระยะยาวคงไปไม่รอดแน่ๆ
ขุดหน้าดินลึกลงไป ที่มาของพฤติกรรมการซื้อของอันแสนน่าอดสูและสู้หน้าพ่อแม่ไม่ได้ของนักเขียนการศึกษารุมเร้าอย่างตัวฉัน ก็คงจะเป็นความผ่อนคลายเมื่อได้เปิดกล่องพัสดุ ความรู้สึกของของชิ้นใหม่บนอุ้งมือของฉันช่างแสนสดชื่นเหมือนได้ดื่มน้ำเย็นยามกระหาย ‘ความกระหายความสุข’ เมื่อชีวิตประจำวันกดดันเราจนแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ มีงานอะไรที่ยังเหลือบ้างนะ ในอนาคตจะทำมาหากินอย่างไร อายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมชีวิตฉันนั้นยังติดกับอยู่ที่เดิม…
การชอปปิงจึงเหมือนการหลีกหนีจากความจริงชั่วคราว เป็นการสนองความต้องการที่ไร้สาระของตัวฉันเอง เมื่อชีวิตบังคับให้เราต้องเป็นคนจริงจัง มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ แต่ก็ด้วยการถูกบังคับให้เป็นผู้ใหญ่นี่แหละ ทำให้ฉันเริ่มจะสำเหนียกตัวเองว่าพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ของตัวเริ่มออกนอกลู่นอกทางไปไกลโข การที่ฉันต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้กินข้าวอร่อยๆ ปฏิเสธเมื่อเพื่อนชวนไปเที่ยวด้วยเหตุผลว่าจะเก็บเงินไปจ่ายหนี้ค่าชอปปิงออนไลน์ที่ค้างไว้ มันน่าเศร้ามากๆ และฉันต้องเปลี่ยนแปลงมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ในเมื่อมันคือความสุข และโลกธุรกิจยังคงจะหมุนเวียนต่อไป ของใหม่ๆ ก็พร้อมใจกันลงวางขายจนทำให้กระเป๋าตังค์แฟบลงตามธรรมชาติ นักช็อปอย่างเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างไรได้บ้าง ให้พอจะเหลือข้าวกินตอนสิ้นเดือน ฉันจึงอยากจะลองแชร์วิธีการที่ตัวเองใช้อยู่ แน่นอนมันอาจจะไม่ใช่วิธีที่การันตีว่าจะช่วยได้ แต่ถ้ามีข้อไหนที่พอจะสอดคล้องกับวิธีคิดส่วนตัว ฟังดูน่าทำตาม โน้มน้าวความคิดคุณได้เหมือนอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ก็โปรดนำมันไปใช้ได้เลย ไม่คิดเงินนะจ๊ะ
1. รีวิวคือมิตรหาใช่ศัตรู
เมื่อซื้อของออนไลน์แน่นอนว่าเราไม่สามารถทดลองสินค้าด้วยมือของตนเองได้ ฉะนั้นรีวิวจึงเป็นเพื่อนคู่ใจที่ทุกคนเสาะหาเพื่อพิจารณาการตัดสินใจซื้อของตัวเอง แต่หลายๆ ครั้งที่การรีวิวฟังดูแล้วละม้ายคล้ายคลึงกับการโฆษณาเสียเหลือเกิน จนเราอาจหลงคารม (ใส่ชื่อดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ตรงนี้) ว่าดีหนูก็ว่าดีไปเสียอย่างงั้น ฟังดูแล้วหลายคนอาจคิดว่า ก็เลิกดูไปเลยสิ! แต่ในเมื่อรีวิวเหล่านี้คือที่พึ่งที่เดียวของเราในการซื้อของออนไลน์ สิ่งที่เราทำได้อาจจะเป็นการ ‘ดูแหล่งที่มา’ และไม่ลืมว่าสุดท้ายแล้วฉันคือคนที่จะใช้มัน
การดูแหล่งที่มาในที่นี้คือการพิจารณาว่าผู้รีวิวที่เรากำลังรับชมอยู่นี้มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าแบบไหน? เขาถูกจ้างมาให้โฆษณาหรือเปล่า แล้วในการโฆษณาเขามีอิสระในการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้ามากแค่ไหน เพราะสุดท้ายจะจ้างมากี่ล้าน ด้วยกฎหมายที่คลุมพวกเรา พื้นฐานของเนื้อหาที่นำเสนอก็ต้องตั้งอยู่บนความจริง ที่นี้ก็อยู่ที่ความสามารถของผู้รีวิวแต่ละคนแล้วในการสรรหาคำอวยยศเพื่อส่งเสริมความน่าซื้อของสินค้านั้นๆ
ในฐานะผู้รับชม หน้าที่ของเราคือการปัดเศษกลิตเตอร์ที่เคลือบความจริงเกี่ยวกับสินค้าออกไป จากนั้นความคิดที่ว่า ‘สุดท้ายแล้วฉันคือคนใช้มัน’ ก็จะผุดขึ้นมา
คุณชอบอะไรกันแน่หรือหาอะไรอยู่ ลิปกลอสเนื้อบางสีส้มเหรอ? ลองเปรียบเทียบสิ่งที่คุณตามหากับข้อมูลความเป็นจริงของผลิตภัณฑ์ดูสิ น่าจะช่วยทำให้การพิจารณาว่าสินค้านี้เหมาะสมกับเราจริงๆ ไหม
2. ดองของเหมือนดองงาน
วิธีโปรดของตัวฉันเอง คือการทิ้งสินค้าไว้ในตระกร้าซักระยะ เมื่อเราได้เห็นโฆษณาสวยๆ และรีวิวในแง่ดี ในตอนแรกอาจกลายเป็นความตื่นเต้น กระตุ้นให้อยากซื้อจนปล่อยใจกดจ่ายเงินไป พร้อมให้เหตุผลกับตัวเองมากมายว่าฉันซื้อมาเพื่อความสุขของตัวเอง แต่การดองของในตระกร้านี้จะช่วยตัดความรู้สึกตื่นเต้นแรกเริ่มของการได้เห็นสินค้าใหม่ๆ แล้วเพิ่ม ‘สติ’ และเวลาในการพิจารณาการซื้อขึ้นเยอะ คุณอาจจะตกใจเลยก็ได้ว่าเมื่อความตื่นเต้นในช่วงแรกเหือดแห้งไปแล้ว มีของเหลืออยู่กี่ชิ้นที่คุณอยากได้มันจริงๆ แหม ฟังดูแล้วก็เหมือนความรักที่มีช่วงโปรโมชันความหวานอยู่เหมือนกันนะเนี่ย!
3. ฉันทาสีนี้ได้คนเดียว
สายบิวตี้หลายๆ คนอาจเคยได้ยินแนวคิด ‘Personal Color’ ว่าด้วยการเลือกใช้เครื่องสำอางและเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้เราดูดีมากขึ้น โดยพิจารณาจากทฤษฏี ‘สี’ ของตัวเราไม่ว่าจะสีผิว สีตา สีผมว่ามีความเข้มอ่อนมากแค่ไหนและเป็นสีโทนเย็นหรือโทนอุ่น เพื่อให้เราสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่สีซึ่งส่งเสริมกัน ทำให้หน้าผ่องดูมีสง่าราศี นอนครบแปดชั่วโมง
วิธีการนี้ของฉันได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดดังกล่าว เพื่อให้ตั้งคำถามว่าสิ่งที่กำลังจะซื้อนั้นมีประโยชน์ส่งเสริมตัวเราอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงความอยากที่เกิดขึ้นจากการเห็นผู้อื่นใช้งานแล้วดูดี? สำหรับฉันแล้วมันฟังดูโรแมนติกไม่ใช่น้อย แทนที่จะซื้อหว่านทุกอย่างที่ดูสวยงามบนโฆษณา เราควรซื้อเฉพาะลิปสติก น้ำหอม หรือเสื้อผ้าชิ้นโปรด ที่ใช้ตอนไหนก็รู้ว่าดูดี กลายเป็นไอเทมเฉพาะตัว จนเราสามารถตอบได้อย่างเต็มปากว่า สิ่งนี้แหละคือ ‘Signature’ ของตัวฉันเอง
4. ตัวเลข phobic
วิธีสุดท้ายที่จะนำเสนอในบทความนี้ พูดไปแล้วอาจดูเป็นเหมือนวิธีเขกกบาลให้รู้สึกตัว แต่บางครั้งยาที่ดีก็อาจจะเป็นยาขม หากจะให้ผูกเข้ากับบริบทของการซื้อของออนไลน์ก็คงจะหมายถึงการเปิดบัญชีเข้าไปยลโฉมจำนวนเงินที่เหลืออยู่ และถ้าจะดียิ่งขึ้นไปอีก คุณลองคำนวณค่าใช้จ่ายจำเป็นอย่างค่าข้าว หรือค่าหอ ที่ยังไงก็ต้องปลิวออกจากกระเป๋าแน่ๆ
เป็นไงบ้าง? เหลือเงินเท่าไหร่กันเอ่ย ส่วนตัวแล้วรอยยิ้มฉันหายกลายเป็นหน้าซีดกันเลยทีเดียว
การรู้จำนวนเงินที่มีอยู่อาจดูคล้ายการทำสมุดบันทึกรายรับ-รายจ่ายวัยประถม แต่หารู้ไม่ว่ากิจกรรมที่เราทำส่งๆ เพื่อเอาคะแนนในเวลานั้น คือสกิลสำคัญในการเอาตัวรอดในวัยผู้ใหญ่ พูดแล้วหาซื้อสมุดรายรับรายจ่ายสวยๆ ย้อนวัยเยาว์ซักเล่มก็คงจะ…(ตีมือตัวเอง)
เป็นยังไงกันบ้างทุกคน มีวิธีที่พอจะช่วยได้บ้างไหม? สุดท้ายแล้วหวังว่าทุกคน (รวมถึงตัวฉันเอง) จะไม่ต้องใช้วิธีวาดรูปปลาทู นั่งมองแล้วกินข้าวเปล่าประทังชีวิตเหมือนในหนังสือการ์ตูนที่เคยอ่านตอนเด็กๆ อีกทั้งนอกจากผลกระทบใกล้ตัวอย่างไม่มีเงินกินข้าวแล้ว ในระยะยาวเราก็อาจสามารถช่วยพระแม่ธรณีให้มีความสุขขึ้น จากการลดขยะที่เกิดขึ้นจากการซื้อของแบบเกินพอดีได้ด้วยนะ