เขียน: จิระกานต์ วรรณธะสุข

โหวตเตอร์ส้มแนะ พรรคประชาชนควรรักษานโยบายเดิมในสมัยพรรคก้าวไกล เช่น แก้ม.112 ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากอยากรักษาคะแนนเสียงไว้ ด้านโหวตเตอร์แดงยัน นโยบายเศรษฐกิจคือปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะประชาธิปไตยกินไม่ได้
จากกรณีที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย กล่าวว่าจะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนมกราคม พ.ศ.2569 และจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในเดือนเมษายน พ.ศ.2569 นั้น เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 เอ (นามสมมติ) นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี อายุ 22 ปี โหวตเตอร์พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2566 ให้สัมภาษณ์ว่า การเลือกตั้งในครั้งต่อไปที่จะถึงนั้นยังคงลังเลอยู่ เพราะคิดว่าจากเหตุการณ์ยุบพรรคก้าวไกล เปลี่ยนเป็นพรรคประชาชน ทำให้เกิดความกังวลว่า พรรคประชาชนอาจจะไม่สามารถสานต่ออุดมการณ์เดิมได้ทั้งหมด เพราะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารใหม่ รวมถึงมีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการตัดสินใจเลือกพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งก่อน
เอกล่าวต่อว่า เหตุผลหลักในการเลือกพรรคก้าวไกลมาจากนโยบายด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการแก้ไขตัวบทกฎหมายของประมวลกฎหมายมาตรา 112 ฐานดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เสนอให้ลดอัตราโทษ เพิ่มบทยกเว้นความผิด และบทยกเว้นโทษในมาตราดังกล่าว
เอกล่าวว่า ทิศทางของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งถัดไปควรจะรักษานโยบายเดิมเหมือนนโนบายของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2566 เพื่อรักษาคะแนนเสียงเดิม แต่ก็ต้องอ่อนโยนกว่าเดิมเพื่อเข้าถึงคนรุ่นก่อนได้มากขึ้น
เอกล่าวเสริมว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้นการตัดสินใจเลือกขึ้นอยู่กับนโนบายที่ให้คุณค่ากับหลักประชาธิปไตยมากที่สุด เพราะเชื่อว่าการมีประชาธิปไตยที่แข็งแรงที่เป็นรากฐานให้ประเทศพัฒนาได้อย่างยั่งยืน เพราะทุกคนจะมีส่วนร่วมในการพัฒนา ทำให้สามารถสะท้อนความต้องการของประชาชนได้ทุกส่วน
ด้าน บี (นามสมมุติ) นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร อายุ 22 ปี โหวตเตอร์พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี พ.ศ.2566 ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้น ยังไม่ได้ปักใจเลือกพรรคใด แต่ยังคงชื่นชอบพรรคเพื่อไทยมากกว่าพรรคอื่น หากเพื่อไทยมีหัวหน้าพรรค นโยบายและแผนการทำงานของพรรคตรงกับความต้องการ ก็จะยังคงเลือกพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม
บีกล่าวต่อว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นเหตุผลหลักในการเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะคิดว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่าปัญหาอื่นๆ โดยพรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการนำเงินเข้าสู่ประเทศ ส่วนพรรคก้าวไกลจะเป็นนโยบายด้านรัฐสวัสดิการมากกว่า
บีกล่าวว่า นโยบายจะเป็นส่วนสำคัญสำหรับการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งถัดไป โดยจะเลือกจากพรรคที่มีนโยบายด้านรัฐสวัสดิการ ต่างจากในการเลือกตั้งครั้งก่อนเพราะการเข้าสู่วัยทำงานจะทำให้ได้ประโยชน์จากรัฐสวัสดิการมากกว่าแต่ก่อน
บีกล่าวเสริมว่า นโยบายเรื่องสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยไม่ใช่ส่วนสำคัญในการตัดสินใจ โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
“ในเรื่องนโยบายเกี่ยวกับประชาธิปไตยไม่ได้ให้น้ำหนักเลย มันกินไม่ได้ สงสารคนที่โดนจับนะแต่ตามกฎหมายก็ผิดจริง ทำก็รับผลไป แต่เรื่องสิทธิอื่นๆ ที่ควรได้รับก็อีกเรื่อง เราเลือกเพื่อตัวเอง ในมุมมองของเราประชาธิปไตยคือเสียงของคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่คิดเห็นอย่างไรก็ต้องตามนั้น” บีกล่าว










