เรื่องและภาพประกอบ : จุฑาภัทร ทิวทอง
“วันเพ็ญเดือน 12 น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง…”
เพลงคุ้นหูที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่จำความได้ จะทีวีหรือวิทยุทำนองก็เล่นซ้ำวนไปไม่อาจหลีกหนี ฉันจำได้เสมอเมื่อวันนี้เวียนมาถึง แม่ของฉันจะมีกิจวัตรที่เธอทำอยู่ทุกปี ตื่นเช้าไหว้พระ ตกเย็นไหว้ศาล และเมื่อไถงลาฟ้าไปพักผ่อน เสียงประตูห้องของฉันก็จะดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไปลอยกระทงกัน”
แม้ประตูไม่ได้หนา ผนังห้องไม่ได้เก็บเสียง แต่แม่ก็ส่งเสียงก้องพอให้คนทั้งบ้านได้ยิน
เมื่อวัยยังต้องนั่งบนคานไม้ให้ช่างตัดผม ฉันยังจำความตื่นเต้นที่ตนเองมีต่องานขอขมาพระแม่คงคาได้อย่างตรึงตราใจ แสงสีสว่างจ้าในวัด เสียงลำโพงสะเทือนแก้วหู คู่รักควงแขน ครอบครัวขวักไขว่จูงมือเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับตัวฉันไปยังบริเวณรอบสระในวัด แต่ที่ประทับใจมากที่สุดคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการเลือกกระทงหลากสีที่เหล่าย่ายายในชุมชนร่วมแรงกันทำ สภาพแวดล้อมมีชีวิตชีวาทำประสาทการรับรู้ของฉันอีนุงตุงนัง ยุ่งเหยิงเกินกว่าจะใช้ความคิดพิจารณาเรื่องเล็กน้อยอย่างการเลือกกระทง ฉันเลยเพียงหลับตา แล้วสุ่มจิ้มกระทงที่เรียกชื่อฉัน เมื่อสวมหมวกนักพนันเรียบร้อยแล้ว แม่ก็จะยื่นแบงค์ที่เธอมีติดกระเป๋าใส่มือฉันให้สอดเข้ากล่องบริจาค
ณ เวลาประจวบอันเหมาะ มัคนายกก็ประกาศผ่านไมโครโฟน เรียกคนรอบงานให้เริ่มลอยดอกไม้พับจากตองเขียวลงสระ เสียงไฟแช็คและไม้ขีดดังเกรียวกราว เมื่อกลิ่นหอมธูปโชยในอากาศและเปลวเทียนส้มพริ้วไหว เราต่างแข่งกับเวลา มือป้องไฟดวงเล็ก รีบจับจองที่เพื่อลอยกระทงก่อนขี้ธูปจะหล่นลวกมือ ทรงตัวนั่งยองอยู่บนท่าไม้ผุ
“อธิษฐานสิ” แม่พูดเบาๆ
ฉันท่องความปรารถนาในใจ ตามองจ้องดวงไฟใกล้มอด หวังให้ทุกข์โศกมลายหายไปกับกระทงที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ลอยห่างจากมือล่องไปรวมกับเพื่อนๆ นับสิบ ดูคล้ายดอกไม้ที่มนุษย์ประดิษฐ์ใจกลางสระวัด ฉันทำตามพิธีที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีไม่มีผิดพลาด
แต่ทำไมกันนะ ความทุกข์ถึงยังเกาะตัวฉันเหมือนคราบหมึก
อาจเป็นความจริงที่ใครๆ ก็รู้ว่าชีวิตของคนนั้นไม่ได้ผันแปรไปตามคำอธิษฐานของใคร ความทุกข์ ความผิดหวัง ความโศกเศร้าและเรื่องน่าหดหู่นั้นเข้ามาในชีวิตของคนเราเป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเจอ ดังคำที่ทุกคนพูดกันบ่อยๆ ว่ามันคือ ‘รสชาติ’ ของชีวิต รสชาติแสนขมที่ไม่มีมนุษย์คนไหนอยากลิ้มลอง สิ่งเดียวที่จะช่วยให้คำอธิษฐานเป็นจริงก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากตัวของฉันเอง จะเกรดสี่ สุขภาพดี หรือเงินทองย่อมเกิดจากการกระทำหาใช่คำอธิษฐาน
เมื่อเข้าใจแบบนั้น สายธารของเวลาและรสชาติปนขมของการเติบโตก็ค่อยๆ ชำระเวทมนตร์ของงานลอยกระทงไปพร้อมกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยคนหนึ่ง แสง สี ของงานเทศกาลดูหม่นหมอง ความเหนื่อยและความเบื่อหน่ายทำให้ฉันไม่อยากออกไปไหน หาข้ออ้างสารพัดเพื่อหลีกเลี่ยงการออกไปร่วมงานเทศกาล ค่อยๆ ออกห่างจากวิถีความเชื่อมากขึ้น
ถ้ารู้อยู่แก่ใจว่าการลอยกระทง การอธิษฐาน การทำบุญ หรืออะไรเถือกนั้นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของฉันดีขึ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไปทำไม
แต่การเติบโตก็ช่างน่าขำ เพราะด้วยการเติบโต การผ่านอุปสรรคและความทุกข์ที่ชีวิตโยนใส่ ทำให้ฉันได้เข้าใจอีกครั้งว่า การกระทำที่ดูไม่มีประโยชน์จับต้องได้เหล่านี้สำคัญต่อการใช้ชีวิตอย่างไร
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทุกคนคงเคยผ่านกันมาอย่าง ‘การสอบ’ เราอาจจะพยายามอย่างเต็มที่ในขั้นตอนการเตรียมตัว อ่านหนังสือทบทวนถึงตีหนึ่งตีสอง เรียนพิเศษนับไม่ถ้วน ฝึกทำข้อสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนสอบจริงที่ตรวจคำตอบอย่างรอบคอบ หรืออ่านโจทย์เป็นสิบครั้งเหมือนอาจารย์จะซ่อนคำตอบไว้ในนั้น แต่เมื่อสอบเสร็จ มันก็จบ ไม่มีการกระทำอะไรที่เราทำได้เพื่อช่วยกล่อมตัวเองให้มีความหวังมากขึ้น นอกจากไปไหว้พระไหว้เจ้า สวดขอให้ท่านช่วยเรา ถึงจะรู้อยู่ลึกๆ ว่าขอไปมากเท่าไหร่ ถวายดอกไม้ไปมากเพียงใด คำตอบที่ฝนไปก็ไม่เปลี่ยนสลับช่องเป็นถูก
กลับมาในมุมของตัวฉัน การอธิษฐานภาวนาเป็นสิ่งที่ช่วยให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่กลับมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปและมีแรงต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่หวังมากขึ้น เพราะอย่างน้อยถึงไม่แน่ใจว่ามีพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม แต่หากท่านอยู่ที่ไหนซักแห่งและรับฟัง ท่านก็อาจคอยช่วยหนุนหลังในการเดินทางอันแสนเหน็ดเหนื่อยของฉัน เป็นแรงสนับสนุนที่ไม่ได้แลกมาด้วยเงินทองหรือหยาดเหงื่อของใคร ฉันจึงไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้เขาผิดหวังและมีอิสระในการพยายามเพื่อความฝันของตัวเอง
สำหรับเหล่าผู้ที่มีคำถามถึงประโยชน์ที่จับต้องได้ นักวิทยาศาสตร์และจิตแพทย์มากมายก็สงสัยเช่นเดียวกัน แบบ ‘เควิน มาสเตอร์‘ (Kevin Masters) อาจารย์วิชาจิตวิทยาคลินิก ประจำมหาวิทยาลัยโคโลราโด เดนเวอร์ (The University of Colorado Denver) ให้สัมภาษณ์กับ CNN กล่าวว่า ในมุมของวิทยาศาสตร์ การศึกษาการสวดมนต์ ภาวนา ก็มีอุปสรรคด้วยปัญหาด้านวิธีการ ที่ติดขัดตั้งแต่การนิยามความหมายของการสวดภาวนา ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน คุณสวดเพื่อขออะไร? หรือสวดเพื่อระบายสิ่งที่พบเจอในแต่ละวัน? แล้วคุณจะพิจารณาผลลัพธ์ได้อย่างไร ไหนจะคนที่จะทำให้คำขอเหล่านี้เป็นจริง อย่าง ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ หรือ ‘พระเจ้า’ ที่แน่นอนว่าเราคง (ยัง) ไม่สามารถศึกษาได้ ด้วยลักษณะของพระเจ้าผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติสำหรับคนที่เชื่อ ฉนั้นบางทีประโยชน์แท้จริงของการอธิษฐาน หรือสวดภาวนาในตอนนี้ก็อาจพูดได้แค่ว่ามีประโยชน์เพียงทางใจ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะให้คุณค่ากับความเชื่อมากน้อยแค่ไหน
แต่ถึงอย่างไร เราก็ไม่สามารถมองข้ามการกระทำในการภาวนาและขอให้พระเจ้ารับฟัง ที่ใช้ทรัพย์สินเงินทองแท้ๆ ในการขอ ซึ่งมีตัวอย่างนับไม่ถ้วนให้เห็นว่า หากการไม่ใช้วิจารณญาณประกอบเป็นอีกครึ่งหนึ่งขอตราชั่งแห่งความเชื่อ ก็อาจทำให้สิ่งที่คุณขอไปกลับตาลปัตรกลายเป็นคำสาป สิ้นเนื้อประดาตัว ชีวิตตกอับ ลำบากคูณสองก็เป็นได้ อีกทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏอย่างชัดเจนในเทศกาลลอยกระทง ที่ชวนสงสัยว่าเรากำลังขอขมาพระแม่คงคาจริงๆ ใช่ไหม เพราะถ้าฉันเป็นพระแม่ก็จะคงสาปส่งคนลอยไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด แน่นอนว่าถึงจะเชื่อยังไงคำอธิษฐานก็ใช่ว่าจะเป็นจริงขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วสำหรับฉัน การได้ใช้ชีวิตโดยรู้สึกว่ามีใคร (หรืออะไร) คอยหนุนหลังอยู่ก็ยังดีกว่าการเดินไปข้างหน้าและแบกรับทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งการได้ร่วมงานเทศกาลประจำปี ออกไปพบเจอผู้คนสักนิดบรรยากาศของการเฉลิมฉลองก็เป็นการพักผ่อนที่ดีไม่น้อย
อาจไม่ใช่เหตุผลที่ฟังดูแข็งแรงอะไรมากนัก แต่ในทางกลับกัน เรื่องเล็กๆ บางเรื่องที่ทำเพื่อความสุข ตัวฉันนั้นก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้ปวดหัวหนักกว่าเดิม ขอแค่มีความรับผิดชอบในความเชื่อไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง สิ่งแวดล้อมและสังคมก็พอ
พูดไปแล้ว… ปีนี้จะไปลอยกระทงที่ไหนดีหนอ
บรรณานุกรม
The psychological benefits of prayer: What science says about the mind-soul connection, CNN, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 6 พฤศจิกายน, https://edition.cnn.com/2020/06/17/health/benefits-of-prayer-wellness/index.html
The Science of Prayer, The Wall Street Journal, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 6 พฤศจิกายน, https://www.psychologicalscience.org/news/the-science-of-prayer-2.html