เรื่อง : ปิยะพร สาวิสิทธิ์ และ อารีย์วรรณ อมรเดชเทวินทร์
ภาพ : ศิริญาพร ดำน้อย, ผกาวรรณ นิติกาญจนา และ กิตติศักดิ์ ชัยฤทธิ์
หลายคนคงพอจำได้ว่า วันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา มีการจัด ‘งานบอล’ หรือ ‘การแข่งขันฟุตบอลสานสัมพันธ์ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 1‘ (คนละงานกับงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่นักศึกษาจากทั้งสองมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสกลับมาพบปะกันในกิจกรรมนี้
นอกจากงานบอลจะเป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างนักศึกษาธรรมศาสตร์และนิสิตจุฬาฯ แล้ว ยังมีจุดเด่นอื่นๆ ที่ทำให้หลายคนตั้งตารอกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตศิลปิน การแปรอักษรโต้ตอบกันระหว่างทั้งสองมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นจอ LED แทนการให้นิสิตนักศึกษาต้องขึ้นไปรับแสง UV แบบเต็มที่ รวมไปถึง ‘ขบวนล้อการเมือง’ ที่ทำหน้าที่ราวกับกระจกสะท้อนสภาพสังคม ณ เวลานั้นๆ
แต่เมื่อชื่องานเปลี่ยน วัตถุประสงค์ของการจัดงานก็ย่อมเปลี่ยน เนื่องจากงานฟุตบอลสานสัมพันธ์มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ‘สานสัมพันธ์’ ระหว่างสองมหาวิทยาลัย ไม่ได้เน้นที่การแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมืองเป็นไฮไลท์ของงาน และดูเหมือนว่าความคาดหวังของผู้ชมคงจะไม่ได้รับการเติมเต็มเท่าใดนัก เพราะหนึ่งในเสียงสะท้อนจากผู้ชมที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยรับชมงานบอลครั้งนี้กลับปรากฏประโยคที่ว่า
นอกจากนี้ ยังมีหลายเสียงกล่าวว่าเมื่อเสิร์ช #งานบอลจุฬาธรรมศาสตร์ ในทวิตเตอร์ ก็มักจะเจอแต่รูปดารา ไม่ค่อยมีการพูดถึงบรรยากาศงาน การแปรอักษร หรือขบวนล้อให้เห็นมากนัก รวมถึงยังกล่าวว่า การแปรอักษร ‘ทำไม่ถึง’ และขบวนล้อการเมืองก็ยังไม่มีประเด็นที่ ‘ฟาด’ มากพอ
ที่กล่าวมานั้นเป็นความเห็นที่พบได้ทั่วไปในวงสนทนาของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ติดตามงานบอลหรือบนไทม์ไลน์ในโลกโซเชียลมีเดีย ด้วยเหตุนี้ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้งานบอลธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งนี้ ออกมาได้ค่อนข้างไม่เต็มที่ เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่จัดเมื่อปี 2563 รวมถึงครั้งอื่นๆ ที่จัดก่อนหน้านั้น
เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้งานบอลปีนี้ ‘ไปไม่สุด’ ทาง Varasarn Press จึงติดต่อสัมภาษณ์ ‘มู่หลาน – ธันยชนก ชาลีเขียว’ ชั้นปีที่ 1 คณะนิติศาสตร์ ประธานกลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ‘มิราเบล – วิวิศนา อุ่นใจ’ ชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ ฝ่าย PR กลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปัญหา 1 : งบประมาณล่าช้า
มู่หลาน : เราวางแผนตั้งแต่ปลายมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ ต้นกุมภาพันธ์เราวางแผนกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมสร้างทุกอย่าง แต่เราไม่มีเงินเพื่อซื้อวัสดุ เช่น ไม้ ทำให้ไม่มีอุปกรณ์ขึ้นโครง
ด้วยความเป็นงานบอล เราเลยไม่อยากใช้งบประมาณของกลุ่มอิสระเอง จึงทำให้การเริ่มงานนั้นช้า งบก้อนแรกที่มาคือวันที่ 5 มีนาคม และงานบอลจัดวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งที่มาของงบคือเงินของสปอนเซอร์ล้วนๆ ไม่ได้ใช้งบที่เป็นค่าเทอมนักศึกษาเลย ทางผู้ดำเนินโครงการ ทั้งประธานโครงการ และประธานฝ่ายขบวนก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว นอกจากนี้ยังมีเรื่องการให้งบที่เป็นการให้ทีละก้อน งบก้อนแรกที่เราได้ยังแทบจะไม่พอซื้อไม้ ก้อนต่อมาที่ได้คือวันที่ 10 มีนาคม และต่อจากนั้นก็คือวันที่ 20 มีนาคม ซึ่งก็ใกล้ถึงวันจัดงานแล้ว
ปัญหา 2 : โดนจับตามอง
หากใครติดตามกระแสงานฟุตบอลบนสื่อโซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์ อาจเคยพบเห็นรูปภาพหลายรูปที่เป็นภาพของชายนิรนามยืนมองกลุ่มขบวนล้อการเมืองที่ทำงานอยู่ใต้ตึกกิจกรรมนักศึกษา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าคนแปลกหน้าคนนั้นคือใคร
การโดนจับตามองส่งผลต่อการทำงานของขบวนล้อการเมืองหรือไม่?
มู่หลาน : โดยส่วนตัวคิดว่า การส่งคนมาด้อมๆ มองๆ ไม่มีทางที่เขาจะรับรู้เนื้อหาทั้งหมดของขบวนเราได้อยู่แล้ว ด้วยความสูงที่จำกัดของตึกกิจกรรมนักศึกษา ทำให้เราต้องแยกชิ้นส่วนในการทำหุ่นแล้วไปประกอบที่หน้าสนามศุภชลาสัย แต่ปัญหาของประเด็นนี้คือเรื่องความปลอดภัยของนักศึกษาทำไมมหาลัย ถึงปล่อยให้มีคนเหล่านี้เข้ามาได้ อีกเรื่องหนึ่งคือกลัวของหาย เพราะของตรงนั้นมันเยอะมาก ป้ายผ้าเรามี 30 กว่าป้าย เราไม่รู้ว่าเขาจะมากางดูทีละอันไหม
ปัญหา 3 : คำเตือนจาก ‘ผู้ใหญ่’
เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่า ขบวนล้อการเมืองมักมีปัญหาเรื่องความล่อแหลมที่ ‘ผู้ใหญ่’ หลายท่านไม่ชอบใจเกือบทุกปี บางปีถึงขั้นมีตำรวจมาฉุดกระชากป้ายจากมือนักศึกษาบริเวณหน้างานเสียด้วยซ้ำ
ขบวนปีนี้โดนทางผู้ใหญ่เซนเซอร์เยอะไหม?
มู่หลาน : ก่อนหน้านี้ผู้บริหารเรียกเราไปคุยว่าเนื้อหาในขบวนมีอะไรบ้าง เขาอ้างเหตุผลที่ขอดูว่า เวลามีตำรวจเข้าชาร์จจะได้ช่วยเหลือนักศึกษาได้ ดังนั้นถ้าจะให้เขาปกป้องเรา เขาก็ต้องรับรู้ด้วยว่าในขบวนมีเนื้อหาอะไรบ้าง แต่เราคิดว่ามันไม่ควรให้ตำรวจเข้ามายุ่งตั้งแต่แรก มันไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหา
วันซ้อมใหญ่มีผู้บริหารมาดูด้วย เราก็ไม่ได้เอาป้ายขึ้นหรอก แต่ด้วยบทพากย์ ผู้บริหารก็มีความเห็นว่าไม่โอเค เขาโทรมาบอกว่าอยากคุยด้วย เราก็เลยต้องเข้าห้องดำ เขาพูดกับเราว่ามีบางจุดที่ไม่เหมือนที่ตกลงกันไว้ แล้วเขาก็ขอดู
ป้ายผ้า 33 ป้าย จะมี 2 ป้ายเท่านั้นที่ล่อแหลมในส่วนของบทพากย์ เขาบอกว่าไม่อยากให้โจมตีเรื่องสำนักงานจัดการทรัพย์สินของจุฬาฯ เพราะเป็นงานฟุตบอลสานสัมพันธ์ แต่คำถามคือสานสัมพันธ์ใคร? นิสิตนักศึกษา หรือผู้บริหาร? สิ่งที่เขากังวลคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารทั้งสองมหาลัยฯ นิสิตนักศึกษาเขาโอเค
คืนวันที่ 30 มีนาคม หลังจากเข้าห้องดำ เราได้รับสายโทรศัพท์และข้อความกดดันตลอดจากเจ้าหน้าที่กิจกรรมนักศึกษา เขาพูดกับเราประมาณว่า อยากเห็นขบวนล้อการเมืองในงานบอลเป็นครั้งสุดท้ายเหรอ ไม่ได้อยากเซนเซอร์แต่เป็นห่วงจริงๆ แต่ความจริงคือ ทุกป้ายผ้าเราได้ปรึกษาอาจารย์ที่เป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์แล้วเรียบร้อย
แล้วเรื่องป้าย ม.112 และศาลเจ้าแม่ทับทิมที่ล่อแหลมมากๆ ล่ะ?
มู่หลาน : ในเช้าวันงาน อาจารย์และผู้บริหารเข้ามาหาเรา และเขาก็ขอให้เซนเซอร์ป้ายที่เขียนว่า “ขบวนนี้ห้ามพูดถึงม.112” หรือไม่ก็เอาออกไปเลย เราจึงปฏิเสธไปเพราะป้ายนี้ตกลงกันตั้งแต่ตอนอยู่มหาลัยแล้ว เขาจึงแนะนำให้เราเปลี่ยนเป็นเลขโรมันเพราะยังไงสารที่จะสื่อก็มีเท่าเดิม คำถามคือทำไมเราสื่อสารตรงๆ ไม่ได้ เราเลยไม่ยอม
สุดท้ายเขาจึงยื่นข้อเสนอว่าให้ถมขาวทับ ตอนแรกเราจะรับข้อเสนอนี้ เพราะต่อให้ถมขาวมันก็ยังอ่านออกอยู่ดี เราแค่อยากให้ป้ายของเราได้เอาเข้าไปในงาน และเขาก็พูดประมาณว่า ถ้าไม่แก้อาจมีการฉุดกระชากหน้างาน สุดท้ายเราก็ตกลงกันว่าจะกากบาทคำว่า “ห้าม” แล้วเขียนคำว่า “ไม่มี” แทน เพราะสารที่เราจะสื่อก็ยังมีเท่าเดิม
ในส่วนของขบวนที่เป็นศาลเจ้าแม่ทับทิม ฝั่งผู้บริหารไม่พอใจมาก ตอนแรกจะเป็นอีกกลอนหนึ่ง แต่เราเปลี่ยนหน้างานเพราะเขาบอกว่ามันแรงเกินไป
“เราทำงานนี้แค่เพราะอยากสื่อสารงานศิลปะ ทำไมเราต้องมานั่งเครียดขนาดนี้ด้วย”
ปัญหา 4 : ความเป็นอยู่ของทีมงานในวันก่อนงานบอล
มิราเบล : ในส่วนของที่พัก ที่สนามมีให้เป็นโรงยิม เราก็กินนอนอยู่ที่นั่น พอเป็นโรงยิมก็ไม่มีใครถอดรองเท้า เวลานอนก็เหมือนเรานอนกับเท้าใครบ้างก็ไม่รู้ เพราะไม่มีที่นอนที่อื่นแล้ว พัดลมก็น้อย ส่วนที่มีแอร์คือหน้าห้องน้ำ ห้องน้ำในโรงยิมมีแค่ห้องน้ำชาย ถ้าจะไปห้องน้ำหญิงต้องเดินอ้อมออก แล้วตอนดึกแถวนั้นก็มืด ไม่มีใครกล้าเดินอ้อม กลายเป็นว่าชายหญิงต้องใช้ห้องน้ำด้วยกัน ทั้งๆ ที่ตรงนั้นมีทั้งห้องน้ำชายและหญิง แต่กลับเปิดให้ใช้แค่ห้องน้ำชาย
เรื่องข้าว คือมีวันหนึ่งเราฝากฝ่ายสวัสดิการซื้อข้าวเพราะสมาชิกเราทำงานหนักมากๆ เราเลยแบ่งงบของกลุ่มไปซื้อข้าวให้คนที่ทำงาน สรุปวันนั้นข้าวที่เราได้คือข้าวบูด มีคนกินแล้วท้องเสีย 4 คน เข้าโรงพยาบาลอีก 1 คน เขาก็บอกว่าเราไปเอาข้าวช้าเองหรือเปล่า เลยได้ข้าวบูด
ปัญหา 5 : โดนตัดทิ้งไม่ให้ออกอากาศ
งานฟุตบอลสานสัมพันธ์ในครั้งนี้มีสปอนเซอร์เป็นบริษัทมหาชนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทยอย่าง ‘AIS’ ทำให้บรรยากาศในงานฟุตบอลได้เผยแพร่ออกสู่สายตาผู้คนทั่วไปผ่านการถ่ายทอดสดด้วย ทว่าเมื่อถึงเวลาเฉิดฉายของขบวนล้อการเมือง กลับเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันหน้างานขึ้น
ขบวนล้อการเมืองไม่ได้รับการถ่ายทอดสดใช่ไหม?
มิราเบล : เรามีทีมพากย์เสียงขบวนล้อการเมืองสองทีม คือพากย์เพื่อให้คนในสนามฟังและพากย์เพื่อใช้สำหรับออกอากาศ ฝั่งคนพากย์ออกอากาศเข้าไปเตรียมตัวในห้องเรียบร้อยแล้ว แต่ทีมงาน AIS ก็แจ้งเราที่เป็น PR มาว่า จะตัดการออกอากาศในส่วนของขบวนล้อการเมือง นักพากย์เราที่เตรียมตัวอยู่ในห้องก็งงไปเลย เราส่งเขาไปเพราะเขาอยากพากย์ขบวนการเมือง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พากย์
ปัญหา 6 : หากโดนคดีตอนนี้จะเสี่ยงเกินไป
สปอนเซอร์ในปีนี้มีผลต่อการทำขบวนล้อการเมืองไหม?
มิราเบล : สปอนเซอร์ไม่ได้มีผลขนาดนั้น ที่หลายคนมองว่าขบวนออกมาเบากว่าปีอื่นๆ สาเหตุน่าจะเป็นเรื่องทางกฎหมายมากกว่า คือถ้าโดนคดีช่วงนี้ข่าวจะเงียบมาก ไม่เหมือนกับช่วงปี 2563-2564 ที่ทุกคนจะตื่นตัว พอเป็นตอนนี้ก็เหมือนกับว่าไม่มีใครอยากรับความเสี่ยงตรงนี้ หุ่นหลายๆ ตัวในขบวนก็ค่อนข้างจะสื่อโดยตรงเลย เช่น กรอบรูป หรือหุ่นเชฟ Ratatouille ตอนแรกมีมงกุฎแต่เราก็เอาออกเพราะไม่อยากให้ใครมารับความเสี่ยงตรงนี้ไปด้วยถ้าเกิดโดนฟ้องขึ้นมาจริงๆ
สุดท้ายนี้มีอะไรอยากฝากไหม?
มิราเบล : อยากฝากถึงฝ่ายจัดงานที่เกี่ยวข้องเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น วันที่เราอยู่หน้างาน เกิดอุบัติเหตุในการทำงาน คือเพื่อนเราถูกไม้หน้าสามฟาดปากแตกตอน 5 ทุ่ม และไม่มีกล่องพยาบาลอยู่แถวนั้น พอสอบถามไปก็บอกว่าที่นี่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุก็เลยไม่ได้ซื้อมา
มู่หลาน : งานบอลครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่องค์กรนักศึกษาจัดกันเอง ไม่ใช่ผู้ใหญ่เป็นคนจัด และเป็นงานที่สเกลใหญ่มากๆ เข้าใจว่าอาจจะมีบกพร่องและผิดพลาดกันบ้าง แต่เรื่องการดูแลการปฐมพยาบาลก็ควรจะมี ด้วยสถานที่ที่เราต้องไปเตรียมตัวเป็นโรงยิมที่ใหญ่ขนาดนั้น เป็นศูนย์รวมของทุกขบวน งบสวัสดิการก็ไม่พอ เรื่องข้าว รวมถึงสวัสดิการการขนส่งที่มีปัญหาเรื่องการนัดเวลา สุดท้ายแล้วการจัดงานครั้งนี้ก็เป็นงานแรกที่ใหญ่ขนาดนี้ จัดได้ประมาณนี้ก็ถือว่าโอเค และยังได้ลองอะไรใหม่ๆ อย่างการแปรอักษรบนจอ LED ก็คิดว่าการทำงานในครั้งนี้คงได้อะไรกลับมา
.
ทั้งนี้ Varasarn Press ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ทางด้าน รศ.โรจน์ คุณเอนก รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา ผู้ทำหน้าที่ช่วยอำนวยการฝ่ายต่างๆ ในงานฟุตบอลสานสัมพันธ์ครั้งนี้ อธิบายถึงเหตุการณ์การเรียกนักศึกษาผู้ทำขบวนเข้าไปคุยว่า
“คือเราเชิญมาคุยครับว่าจะมีอะไรยังไงบ้างในขบวน จริงๆ แล้วผมถือว่าเป็นเรื่องเสรีภาพของนักศึกษา แต่ว่าสิ่งที่เรากังวลก็คือไม่อยากให้มันมีคดีอะไรเกิดขึ้น เพราะนักศึกษาจะเป็นคนรับผิดชอบถ้าหากเกิดอะไรขึ้น มันเดือดร้อนนักศึกษา เราก็แค่พยายามช่วยดูว่าอันไหนดูอันตราย”
อีกทั้งยังกล่าวว่า เขาไม่ได้ทำการเซนเซอร์ผลงานชิ้นใดของนักศึกษา เพราะจะเห็นได้ว่า ในวันงาน นักศึกษาก็สามารถนำผลงานออกไปแสดงเดินขบวนได้ทั้งหมด แม้ว่าจะมีผลงานบางส่วนที่ไม่เหมาะสมในความคิดเห็นของเขาก็ตาม
“มีเรื่องผลงานบางส่วนที่จุฬาฯ เขาอาจจะไม่ค่อยสบายใจที่เราทำไป ผมก็คุยกับนักศึกษาว่า ครั้งนี้มันเป็นงานฟุตบอลสานสัมพันธ์นะ เราจะไปทำอย่างนั้นเหรอ แต่ในที่สุดเขาก็แสดงผลงานออกมาได้เต็มที่ ไม่ได้มีการเซนเซอร์สักตัวเลยครับ”
การพูดคุยชี้แจงในครั้งนี้อาจคลายความสงสัยของผู้ชมเกี่ยวกับสาเหตุของความ ‘อ่อม’ ที่เกิดขึ้นในงานบอล และกล่าวได้ว่าท่ามกลางปัญหาที่มากมายถึงเพียงนี้ การได้เห็นผลงานของขบวนล้อการเมืองได้ออกไปเฉิดฉายท่ามกลางสายตาผู้คน อาจนับได้ว่าประเด็นต่างๆ ที่จะสื่อสารในครั้งนี้ยังคงชัดเจนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า แม้ว่าจะไม่ได้พื้นที่บนไทม์ไลน์ทวิตเตอร์มากเท่ารูปดาราก็ตาม