เรื่อง : ศศณัฐ ปรีดาศักดิ์
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้งตามข้อเสนอของ “คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน
การเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการทำประชามติยกแรกนี้ อาจนับเป็น “ก้าวแรก” เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ที่ยังคงเป็นปัญหามาจนถึงปัจจุบัน
แล้วรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 มีที่มาและสร้างปัญหาอย่างไร?
ที่มาของรัฐธรรมนูญไทยฉบับปี 60
หากจะพูดถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้คงต้องย้อนความกันก่อนว่าในปี พ.ศ.2559 ประชาชนตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของคสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เมื่อเกิดการรัฐประหาร รัฐธรรมนูญเดิม (ฉบับปี 50) จึงถูกฉีกทิ้ง
จนมาถึงปี พ.ศ.2559 คสช.จัดให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้น โดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ถูกแต่งตั้งให้เป็นประธานฯ ปัญหาแรกสุดนี้ก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ล้วนมีที่มาและยึดโยงกับคนของคสช.ที่เป็นผู้ก่อการการรัฐประหารทั้งสิ้น
แค่การตั้งต้น ก็แทบไม่เป็นประชาธิปไตยเสียแล้ว
ที่สำคัญคือคสช.ได้ใช้การปิดปากประชาชนในการรณรงค์เพื่อลงประชามติรับหรือไม่รับร่างฯ ดังกล่าว โดยการออกประกาศคณะกรรมการเลือกตั้ง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแสดงความคิดเห็นในการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2559
ประกาศฯ ในข้อที่ 4 ระบุไว้ว่า “ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียง บุคคลสามารถดำเนินการด้วยวิธีการที่ไม่มีลักษณะผิดไปจากข้อเท็จจริง รุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดมหรือข่มขู่ และไม่ขัดต่อกฎหมายอื่น…” และหากประชาชนฝ่าฝืนจะต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี
แม้จะมีประกาศฯ ดังกล่าวออกมา แต่ประชาชนไม่รู้ขอบเขตในการแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ว่าสามารถพูดถึงได้มากน้อยเพียงใด หลายคนโดนจับกุมเพราะออกไปรณรงค์ค้านร่างฯ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมบรรยากาศทางการเมืองในช่วงนั้นจึงเป็นไปด้วย “ความสงบ”
นอกจากนี้หากลองมองในมุมของประชาชน ณ ขณะนั้นจะพบว่า พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะก่อนหน้าร่างรัฐธรรมนูญที่นายมีชัย เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้มีร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ยกร่างโดยทีมที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานฯ แต่ร่างฯ ถูกคว่ำกลางสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไปก่อนแล้ว ถ้าประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับของนายมีชัยอีก ก็จำเป็นต้องเดินเข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกเป็นครั้งที่ 3 และเนื่องด้วยต้องใช้เวลานานในการร่าง อาจทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อยากรออีกต่อไป
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ยังมีประเด็นปัญหาในแต่ละมาตรา และข้อจำกัดมากมาย
ปัญหาภายในรัฐธรรมนูญฉบับปี 60
ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 “สิทธิ์ของประชาชน” ถูกเปลี่ยนให้เป็น “หน้าที่ของรัฐ” ในการดำเนินการ เช่น สิทธิ์ในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่สะดวกรวดเร็ว ฯลฯ
นั่นหมายความว่ารัฐมีหน้าที่เข้ามาดำเนินการให้ทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่งคือหากรัฐไม่ทำหน้าที่เหล่านี้ ประชาชนจะไปเรียกร้องสิทธิ์จากใครได้ไหม เพราะมันไม่ได้เป็นสิทธิ์ของประชาชนต่อไปแล้ว
และประเด็นปัญหาเรื่องความเท่าเทียมทางเพศและห้ามเลือกปฏิบัติโดยเหตุแห่งเพศ ในรัฐธรรมนูญมาตรา 27 ไม่ได้ระบุความหมายของ ‘ชายและหญิง’ กับ ‘เพศ’ ไว้ให้ชัดเจน หากมีผู้ยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยกฎหมายที่เกี่ยวของกับเรื่องเพศ เช่น กฎหมายแพ่งว่าด้วยการสมรส หรือกฎหมายคำนำหน้านาม ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ความไม่ชัดเจนในคำว่าเพศอาจส่งผลต่อการตีความของศาลรัฐธรรมนูญได้
จากปัญหาเรื่องที่มา และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 เป็นผลทำให้ช่วงการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 หลาย ๆ พรรคการเมืองจึงชูนโยบายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ขึ้นมาหาเสียง แต่เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย คลื่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญลูกใหญ่กลับเงียบสงบลง
จนมาถึงวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2566 รัฐบาลได้จัดตั้ง “คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560” มีวัตถุประสงค์คือศึกษาแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งนี้พรรคก้าวไกลได้ลาออกจากการร่วมคณะกรรมการฯ ผลสุดท้ายคณะกรรมการฯ สรุปให้ทำประชามติ 3 ครั้งด้วยกัน คือ ครั้งแรกก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อสอบถามว่าประชาชนเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 2 ภายหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 สำเร็จ และก่อนมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และครั้งที่ 3 หลัง สสร.ร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จ ให้ไปถามประชาชนว่ายอมรับร่างฯ หรือไม่
ในตอนนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ได้มีมติ ครม.เห็นชอบให้ทำประชามติ 3 รอบ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ และเตรียมให้ประชาชาชนชาวไทยจะได้เข้าคูหาอย่างช้าภายใน 21 สิงหาคมนี้ แต่ปัญหากลับอยู่ที่คำถามในการทำประชามติครั้งแรกว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”
ปัญหาของข้อคำถามประชามติ
หากลองสังเกตจากคำถามจะพบว่า ภายใต้ตัวคำถามสามารถแยกออกได้เป็น 2 ใจความสำคัญ ประการแรก ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และประการต่อมา ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์
การที่คณะกรรมการฯ ออกแบบคำถามซ้อนกันในคำถามเดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่ารัฐบาลต้องการที่จะมัดมือชกให้ประชาชนยอมรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยไม่แตะหมวดทั่วไป และหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์
หากเป็นจริงดังว่า ก็ดูเหมือนว่าประชาชนจะวนมาถึงสภาวะไร้ทางเลือกคล้ายกับช่วงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 อีกครั้ง
เพราะถ้าประชาชนส่วนใหญ่ลงมติเห็นชอบ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะถูกแก้ไขหรือทำขึ้นใหม่โดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ทั้งที่ความเป็นจริง อาจจะมีคนบางส่วนต้องการให้แตะหมวดใดหมวดหนึ่ง หรือทั้งสองหมวดก็ได้
แต่ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ลงมติไม่เห็นชอบ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่เกิดขึ้น
ในเมื่อประชาธิปไตยคือการเห็นต่าง จึงมีทั้งบุคคลที่มีความต้องการจะแก้รัฐธรรมนูญที่สามารถแตะหมวด 1 และหมวด 2 เช่น เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ หรือ Con for All ออกมารณรงค์ให้คว่ำประชามติ รวมทั้งก็ยังมีบุคคลที่คิดว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ไม่ควรแตะต้องรัฐธรรมนูญหมวด 1 และ 2 และคนที่ไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเลยอีกด้วย
ในที่สุดแล้วเราจึงต้องใช้ประชาธิปไตยเพื่อตัดสินตามเสียงส่วนใหญ่ และรับฟังเสียงส่วนน้อย
ดังนั้นการที่ ครม.มีมติให้ตั้งคำถามการทำประชามติ โดยพ่วงใจความสำคัญซ้อนกันในคำถามเดียว จึงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ที่ยืดยื้อมาจนถึงปัจจุบัน เพราะผลการลงประชามติจากคำถามที่กำกวมเช่นนี้ จะไม่สามารถสะท้อนความต้องการที่แท้จริงของประชาชนได้เลย
สุดท้ายแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจะสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ แล้ววันใดที่พวกเราจะได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จาก (ตัวแทน) ประชาชน โดย (มติ) ประชาชน เพื่อ (ประชาธิปไตยของ) ประชาชนอย่างแท้จริง
บรรณานุกรม
หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ. (24 กันยายน 2563). รัฐธรรมนูญ2560 : รัฐสภายืด “เปิดสวิตช์แก้รธน.” ยังไม่โหวตร่าง
แก้ รธน. แต่ยื้อตั้งกมธ.ศึกษา 30 วัน. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/thailand-54278557
หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ. (25 ธันวาคม 2566). กก.ชุดภูมิธรรมเคาะทำประชามติ 3 ครั้ง รอบแรกใช้คำถามเดียว-
ไม่ล็อก สสร. จัดทำรัฐธรรมนูญ. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/articles/c4nykemlneno
อรรถสิทธิ์ พานแก้ว. (ม.ป.ป.). การร่างรัฐธรรมนูญ (กระบวนการ). สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?t
itle=การร่างรัฐธรรมนูญ_(กระบวนการ)
อรรถสิทธิ์ พานแก้ว. (ม.ป.ป.). ประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง. สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index
.php?title=ประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง
BBC. (25 ธันวาคม 2566). กก.ชุดภูมิธรรมเคาะทำประชามติ 3 ครั้ง รอบแรก ใช้คำถามเดียว-ไม่ล็อก สสร. จัดทำ
รัฐธรรมนูญ. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/articles/c4nykemlneno
BBC. (24 เมษายน 2567). ครม. “คิกออฟ” แก้รัฐธรรมนูญ เคาะทำประชามติ 3 รอบ เข้าคูหายกแรกภายใน ส.ค.
- 67. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/articles/cqvn34l5d87o
iLaw. (5 สิงหาคม 2563). ปัญหารัฐธรรมนูญ 2560 : สิทธิเสรีภาพที่อยู่ภายใต้ “ความมั่นคงของรัฐ”. สืบค้น
จาก https://www.ilaw.or.th/articles/4366
iLaw. (23 สิงหาคม 2563). 10 เหตุผล ประชามติ’ 59 ไม่อาจใช้อ้างความชอบธรรมให้รัฐธรรมนูญ. สืบค้น
จาก https://www.ilaw.or.th/articles/4440