เขียน: ศิวะ พุ่มอรุณ

หลังจากสำนักพระราชวังมีประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ความโศกเศร้าได้แผ่ปกคลุมไปทั่วประเทศอย่างฉับพลัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงสร้างความสูญเสียในเชิงประวัติศาสตร์ หากยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของประชาชนจำนวนมากที่มีความผูกพันกับพระองค์ โดยเฉพาะในฐานะ ‘แม่ของแผ่นดิน’
“ตอนเห็นข่าวครั้งแรกค่อนข้างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะข่าวที่ออกมาแบบฟ้าผ่า แบบที่ไม่ได้มีสัญญาณมาก่อนล่วงหน้า ตอนนั้นประมาณตีสอง ผมกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ แล้วเห็นโพสต์ในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับข่าวนี้ ก็รีบเปิดดูข่าวจากแหล่งทางการเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ สุดท้ายรู้ตัวอีกทีคือผมตามข่าวไปถึงตีสี่ตีห้าโดยไม่รู้ตัว”
พลกฤต นฤพันธาวาทย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงช่วงเวลาที่ได้รับทราบข่าวการสวรรคตของพระพันปีหลวงในค่ำคืนนั้น
เขาเล่าว่าความผูกพันของเขากับพระพันปีหลวงส่วนใหญ่เกิดจากการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะบทบาทด้านศิลปาชีพ และการเสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
“พระองค์ทรงมีเสน่ห์มากในเชิงภาวะผู้นำ หรือจะเรียกว่ามีพระบารมีก็ได้ เพราะสามารถสร้างพลังสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ไว้ได้ในยุคที่ประเทศกำลังเปลี่ยนผ่านทั้งทางสังคมและวัฒนธรรม”
พลกฤตยอมรับว่าช่วงแรกที่ทราบข่าว เขารู้สึกทั้งตกใจและเศร้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พยายามทำความเข้าใจว่า ‘ความตายเป็นเรื่องธรรมดา’ และสุดท้ายต้องเรียนรู้ที่จะรับความจริงนี้ให้ได้ เพราะไม่มีใครอยู่ตลอดไป
ความรู้สึกเช่นเดียวกับพลกฤตเกิดขึ้นกับคนไทยอีกจำนวนมาก และนั่นคือสิ่งที่กรมสุขภาพจิตมองว่าต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความผูกพันเชิงอารมณ์กับสถาบันอย่างลึกซึ้ง โดยภายหลังการประกาศข่าวสวรรคต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อประชาชนชาวไทย โดยระบุว่าความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่ในบางราย ความเศร้าดังกล่าวอาจพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าและส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน กรมสุขภาพจิตจึงได้สั่งการให้โรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งในสังกัดเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและบริการให้คำปรึกษา เพื่อเยียวยาจิตใจประชาชนอย่างทั่วถึง พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนที่มีอาการเครียด วิตกกังวล หรือรู้สึกสูญเสียจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน เข้ารับบริการปรึกษาทางโทรศัพท์ผ่านสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
การทำหน้าที่ของ ‘สื่อมวลชน’ ในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการจับตาอย่างมาก เพราะสื่อมีบทบาททั้งในการให้ข้อมูลข่าวสาร ขณะเดียวกันก็สามารถ ‘ส่งต่อความเศร้า’ ไปสู่ผู้คนในวงกว้างได้เช่นกัน
นิธิดา แสงสิงแก้ว รองศาสตราจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ละเอียดอ่อนอย่างการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จำเป็นต้องแยก ‘สื่อ’ ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือสื่อกระแสหลัก เช่น โทรทัศน์ ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องการแต่งกายของผู้ประกาศ แนวทางการนำเสนอข่าว และการปรับโทนภาพให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ขณะที่สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียมีความยืดหยุ่นและกระจายตัวสูง แต่ก็มีความเสี่ยงในการผลิตซ้ำอารมณ์ความเศร้ามากเกินไป
“ในช่วงเวลานี้ สื่อมีหน้าที่สำคัญสองอย่าง หนึ่งคือแจ้งข่าวสารให้ประชาชนรับทราบตามข้อเท็จจริง และสองคือทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักและเข้าใจพระราชกรณียกิจของพระองค์ เพราะในรอบสิบปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงวางพระราชภารกิจลงไปมาก ทำให้คนรุ่นใหม่บางส่วนอาจไม่รู้จักพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่านเท่าคนรุ่นก่อน” นิธิดากล่าว
นิธิดาอธิบายเพิ่มเติมว่าการจะตัดสินว่าควรให้พื้นที่ข่าวการสวรรคตมากน้อยเพียงใด ต้องพิจารณาจาก ‘คุณค่าข่าว’ และ ‘ความต้องการของสังคม’ ในขณะนั้น เช่น ข่าวอัปเดตพระราชพิธีรายวันถือว่าจำเป็นต่อสาธารณะ แต่หากเป็นการนำเสนอภาพความเศร้าอย่างต่อเนื่อง สื่อจำเป็นต้องประเมินเจตนาและผลกระทบให้รอบคอบ
“การนำเสนอภาพร้องไห้ ฟูมฟาย หรือบรรยากาศโศกเศร้าซ้ำๆ อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้ชม โดยเฉพาะผู้ที่กำลังอยู่ในภาวะอ่อนไหว มันไม่ต่างจากการรายงานข่าวโศกนาฏกรรม ที่หากเน้นอารมณ์มากเกินไป อาจทำให้ผู้คนดิ่งลงไปกับความเศร้าแทนที่จะเข้าใจเหตุการณ์” เธอกล่าว พร้อมชื่นชมสื่อทางเลือกที่เลือกนำเสนอประเด็นสร้างสรรค์ เช่น การเล่าพระราชกรณียกิจ หรือแรงบันดาลใจจากพระราชดำรัส แทนการผลิตซ้ำอารมณ์โศกเศร้า
นิธิดาเตือนว่าสื่อในฐานะสถาบันทางสังคมมีอิทธิพลต่ออารมณ์ส่วนรวม การสื่อสารในช่วงเวลาละเอียดอ่อนจึงไม่ควรจำกัดอยู่เพียงการรายงานความเศร้า แต่ควรช่วย ‘แปรความเศร้าให้กลายเป็นพลังบวก’ ผ่านการเล่าเรื่องที่สร้างความเข้าใจและความร่วมมือในสังคม
ขณะเดียวกันเธอยังกล่าวถึง ‘ความรับผิดชอบของผู้เสพสื่อ’ ว่า เมื่อสื่อหลักเปลี่ยนรูปแบบไปอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ผู้ใช้ย่อมมีโอกาสเห็นเนื้อหาที่สะท้อนความเศร้าแบบซ้ำๆ ได้บ่อยขึ้น การรู้เท่าทันตนเองในระหว่างเสพสื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญ “เมื่อรู้สึกว่าเริ่มเศร้าหรือดิ่งกับเนื้อหาที่รับชม ควรหยุดพักหรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้เสพสื่อควบคุมสื่อไม่ได้ แต่ควบคุมพฤติกรรมการเสพของตัวเองได้”
นิธิดาทิ้งท้ายว่าหลักการสำคัญของการทำหน้าที่สื่อในช่วงเหตุการณ์ละเอียดอ่อนคือการยึดแนวปฏิบัติของวิชาชีพควบคู่กับการประเมิน ‘อารมณ์ของสังคม’ โดยมีเวลาเป็นตัวกำหนดจังหวะในการนำเสนอ
“ในช่วงสัปดาห์แรกที่ประชาชนยังอยู่ในความโศกเศร้ามาก การผลิตซ้ำภาพเศร้ามากๆ ไม่ใช่สิ่งที่สมควร สื่อต้องรู้จังหวะว่าเมื่อใดควรชะลอ และเมื่อใดควรพาอารมณ์สังคมไปสู่ความเข้าใจ”
ด้าน ชัชสรัญ อจลญา เต็งพงศธร ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาวิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่าการสูญเสียสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในครั้งนี้ เป็น ‘เหตุการณ์สะเทือนใจระดับชาติ’ ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของประชาชนในวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของ ‘ภาวะช็อกทางอารมณ์’ ซึ่งเกิดขึ้นทันทีหลังได้รับข่าว เนื่องจากเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักพระราชวัง โดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้ามาก่อน
“ในทางจิตวิทยา เมื่อเกิดการสูญเสียอย่างฉับพลันแบบนี้ คนจะเข้าสู่ภาวะช็อกก่อน ตามมาด้วยการปฏิเสธความจริง และท้ายที่สุดคือการยอมรับ” ชัชสรัญอธิบาย พร้อมเสริมว่ากระบวนการยอมรับดังกล่าวในสังคมไทยได้รับการช่วยพยุงผ่านพิธีกรรมทางวัฒนธรรมและศาสนา ที่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความรักและความอาลัย เช่น การลงนามถวายอาลัย การรดน้ำ หรือการเข้าร่วมชมโขนพระราชทาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น ‘กลไกเยียวยาจิตใจ’ ที่ทรงพลัง
เธอชี้ว่าพิธีกรรมเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือน ‘สะพานทางอารมณ์’ ที่ช่วยให้คนรู้สึกว่าตนเองได้มีส่วนร่วมกับการสูญเสีย แม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างความสบายใจได้ เพราะในเชิงจิตวิทยา การได้ทำบางสิ่งเพื่อตอบแทนบุคคลที่จากไปคือขั้นตอนสำคัญของการเยียวยาความเศร้า
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต เช่น สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ประชาชนมีเวลาสวดโพชฌังคปริตรเพื่อส่งกำลังใจล่วงหน้า ชัชสรัญมองว่าการสวรรคตของพระพันปีหลวงในครั้งนี้มีความแตกต่าง เพราะข่าวสวรรคตเกิดขึ้นอย่างกระทันหันโดยไม่มีช่วงเวลาให้เตรียมใจ ความรู้สึกช็อกจึงรุนแรงกว่า และในบางกรณีอาจแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิด โดยเฉพาะในกลุ่มที่รู้สึกว่าตนเองละเลย ไม่ได้ติดตามข่าว หรือไม่เคยแสดงออกถึงความรักความผูกพันมาก่อน
ชัชสรัญเตือนว่าความรู้สึกผิดลักษณะนี้ หากไม่ได้รับการคลี่คลาย อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโดยตรง หรือมีความผูกพันเชิงลึกกับพระองค์ท่าน “ในจิตใจของคนบางกลุ่ม พระองค์ท่านอาจมีสถานะใกล้เคียงกับบุคคลในครอบครัว การสูญเสียจึงอาจรุนแรงยิ่งกว่าการสูญเสียบุคคลในครอบครัวเสียอีก”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากธรรมศาสตร์ยังกล่าวด้วยว่า สังคมไทยโชคดีที่สื่อมวลชนมีการปรับวิธีนำเสนอข่าวในยุคปัจจุบัน การไม่เผยแพร่ภาพพระราชกรณียกิจซ้ำๆ เหมือนในอดีต กลับกลายเป็นการช่วยเยียวยาประชาชน เพราะภาพซ้ำๆ อาจกระตุ้นให้ผู้คนจมอยู่ในอารมณ์เศร้าเกินไป การเปิดพื้นที่ให้สังคมกลับมาใช้ชีวิตและประกอบกิจกรรมตามปกติจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าในมุมมองจิตวิทยา
อย่างไรก็ตามชัชสรัญมองว่าการกลับมาใช้ชีวิตไม่ได้แปลว่าควรลืม แต่เป็นการจัดการกับความเศร้าอย่างสมดุล
“การไว้ทุกข์ไม่ใช่การกดความรู้สึกไว้ แต่คือการได้แสดงความรักอย่างมีสติ” เธออธิบาย พร้อมเตือนว่าหากช่วงเวลาการไว้ทุกข์สิ้นสุดเร็วเกินไป อาจทำให้บางคนรู้สึกผิดที่ไม่ได้แสดงออกอย่างเต็มที่ จนนำไปสู่สิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Unfinished Business หรือเรื่องที่ยังค้างคาในใจ
“ความรู้สึกผิดเป็นสิ่งที่อาจติดตัวเราไปตลอดชีวิต และสามารถกลายเป็นต้นตอของโรคซึมเศร้าได้ หนทางเยียวยาที่ดีที่สุดคือการให้อภัยตัวเอง เพราะทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้ เราไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาให้อภัยเรา แต่สามารถให้อภัยตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้”
ในมุมของศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการใช้หลักธรรมะในการเยียวยาจิตใจ พระอาจารย์สมบูรณ์ สุจิตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางขัน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี กล่าวว่าหากมองเหตุการณ์การสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในมุมธรรมะ ถือเป็นเรื่องธรรมดาของสัจธรรมแห่งชีวิต ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา ผู้มีสติปัญญาย่อมเข้าใจได้ว่า พระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว และวันหนึ่งย่อมถึงเวลาที่ต้องเสด็จสู่สุคติ เหมือนเช่นเดียวกับพ่อแม่หรือบุคคลอันเป็นที่รักของเรา
อย่างไรก็ตามพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ การสูญเสียครั้งนี้จึงส่งผลสะเทือนทางใจอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยสัมผัสพระเมตตาหรือเห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ พระอาจารย์สมบูรณ์ชี้ว่าความรู้สึกเช่นนี้ต่างจากการสูญเสียบุคคลในครอบครัว เพราะพระองค์ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติ เป็นดั่งแม่ของแผ่นดิน
“คนที่มีสติปัญญาย่อมทำใจได้ไวกว่า ส่วนคนที่ยังขาดสติหรือขาดปัญญาจะจมอยู่กับความทุกข์ได้นาน เพราะไม่อาจยอมรับความจริงของชีวิตได้” พระอาจารย์กล่าว พร้อมเตือนว่าทุกคนควรระลึกถึงสัจธรรมของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
ท่านยังแนะนำให้ประชาชนใช้หลักสติสัมปชัญญะในการเฝ้าดูใจตนเอง รู้เท่าทันอารมณ์และการกระทำในแต่ละขณะ เพื่อให้ความเศร้าโศกอยู่ในระดับที่พอดี ไม่กลายเป็นความทุกข์ที่ครอบงำชีวิต พร้อมย้ำว่าการมีสติปัญญาจะช่วยบรรเทาความโศกเศร้าได้ เพราะแม้กายจะจากไป แต่ใจของพระองค์ท่านยังคงอยู่กับประชาชนเสมอ
นอกจากนี้พระอาจารย์ยังกล่าวถึงขันธ์ 5 ว่าเป็นหลักธรรมสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจและปล่อยวางได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับความสูญเสีย รูปขันธ์คือร่างกายที่ไม่เที่ยง เวทนาขันธ์คือความรู้สึกสุขทุกข์ที่เกิดดับ สัญญาขันธ์คือความจำหมายรู้ที่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด สังขารขันธ์คือความคิดปรุงแต่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และวิญญาณขันธ์คือการรับรู้อารมณ์ที่เกิดดับต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้สะท้อนว่ามนุษย์ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
พระอาจารย์สมบูรณ์ทิ้งท้ายว่าการเข้าใจขันธ์ 5 และการระลึกรู้ด้วยสติจะช่วยให้เรารับมือกับความสูญเสียได้อย่างสงบ เห็นความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเปลี่ยนความเศร้าให้กลายเป็นความเข้าใจในธรรมแท้จริง
เหตุการณ์การสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นช่วงเวลาที่สะเทือนใจคนไทย และสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางอารมณ์ของสังคม ตลอดจนความจำเป็นในการมีระบบดูแลด้านจิตใจที่เข้มแข็งทั้งจากภาครัฐ สื่อ และชุมชน
ความเศร้า ความสับสน หรือความรู้สึกผิดหลังการสูญเสียเป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์ ทว่าการดูแลจิตใจเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อให้สังคมสามารถปรับตัวและเดินหน้าต่อได้อย่างมีสติและความเข้าใจ











