ArticlesSocietyWritings

How to be a hero : “ไม่ยากถ้าอยากเป็นฮีโร่” ชวนส่องวิธีเล่าเรื่องในการเมืองไทยและจะทำยังไงให้คนเชื่อ

เรื่อง : ปิยะพร สาวิสิทธิ์
ภาพประกอบ : อารีย์วรรณ อมรเดชเทวินทร์

คุณคิดว่าภาพลักษณ์ของการเมืองไทยเป็นอย่างไร? หากถูกถามด้วยประโยคนี้ สิ่งที่ตอบกลับมาก็คงจะมีแต่แง่ลบเสียเป็นส่วนใหญ่ จะให้ตอบเป็นอื่นได้อย่างไรในเมื่อเราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าใครจะชนกับใคร จะจับมือใคร จะหักหลังใคร หรือจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน พอสังเกตการณ์การเมืองไทยมาเรื่อยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะนำไปเปรียบเทียบกับละครหรือหนัง แต่ถ้าเป็นหนังก็ต้องมีการเขียนบท สร้างตัวละคร มีตัวเอก มีตัวร้าย มีตัวตลก แล้วก็นำทั้งหมดไปสร้างเนื้อเรื่อง 

แล้วการเมืองไทยมีอะไรแบบนั้นไหม?

ตอบได้เลยว่ามี เพราะการที่เราเห็นใครเป็น ‘นักการเมืองดี’ ‘นักการเมืองเลว’ ราวกับว่าบทบาทนั้นถูกเขียนมาไว้อย่างสมบูรณ์ ล้วนมากจากสิ่งที่เรียกว่า ‘วิธีการเล่าเรื่อง’ หรือ ‘Storytelling’ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปและไม่ทันได้สังเกต แต่สิ่งนี้อยู่คู่กับมนุษย์และสถาบันต่างๆ ทางการเมืองมาอย่างยาวนานจนไม่สามารถจำกัดปีได้อย่างแน่ชัด เรียกได้ว่าหากลิ้นคู่กับฟัน ท่าพระจันทร์คู่กับถั่วเบอร์นาร์ด การเมืองไทยก็คงคู่กับวิธีการเล่าเรื่อง

วิธีที่ 1: ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอ

วิธีสุดคลาสสิกในการทำให้ผู้คนศรัทธาก็คงไม่พ้นวิธีการเล่าเรื่องแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต นั่นคือการสร้าง ‘ฮีโร่’ ซึ่งถ้าเอ่ยถึงคำนี้ก็คงไม่มีใครที่จะนึกถึงเรื่องแย่ๆ เพราะภาพจำของฮีโร่นั้นเต็มไปด้วยสิ่งดีๆ ด้วยเหตุนี้เองเหล่าสถาบันทางการเมืองทั้งหลายจึงพยายามหาผ้าคลุมมาใส่และสร้างวีรกรรมที่แสนจะดีงามให้กับตัวเองอยู่เสมอ 

ทว่าการเป็นตัวเอกขี่ม้าขาวในช่วงที่บ้านเมืองสงบสุขก็ดูจะไม่มีใครสนใจนัก ตัวเอกในสถาบันการเมืองเหล่านี้จึงมักจะโผล่มาตอนที่บ้านเมืองย่ำแย่ ฝนแล้ง ปลูกพืชไม่ขึ้น ดินเปรี้ยว ดินทลาย น้ำเน่า แบ่งสัดส่วนที่ดินทำกินไม่เป็น น้ำท่วม เศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงาน โรคระบาด หรือแม้กระทั่งรถทัวร์ไฟไหม้ เรียกได้ว่าหากซูเปอร์แมนชอบโผล่มาตอนผู้ร้ายอาละวาดฉันใด ฮีโร่ในการเมืองไทยเหล่านี้ก็มักจะโผล่มาตอนบ้านเมืองไม่สงบสุขฉันนั้น ในทางกลับกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฮีโร่เหล่านั้นต้องรอให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นก่อนถึงจะเริ่มออกโรง ในเมื่อพวกเขาก็มีกำลัง มีพลังวิเศษ และมีอำนาจทางการเมืองที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นแต่แรก

สิ่งที่จะมาพร้อมกับการกอบกู้ของฮีโร่นั้นก็คือ ‘บุญคุณ’ ประชาชนที่ถูกทำให้รู้สึกว่าตัวเล็ก ไร้กำลัง ทั้งที่เป็นคนจ่ายภาษี เมื่อมีฮีโร่มาโปรดแล้วกลับต้องรู้สึกสำนึกบุญคุณเหล่านั้น ทั้งๆ ที่การช่วยเหลือประชาชนก็เป็นหน้าที่ที่พึงกระทำของผู้มีอำนาจทางการเมืองและเป็นคนกุมงบประมาณของประเทศอยู่แล้ว อีกทั้งต่อให้งบประมาณนั้นจะเป็นงบจากภาษีประชาชน แต่การดำเนินการช่วยเหลือในแต่ละครั้งนั้นก็มักจะมาในนามของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือในนามรัฐบาลภายใต้นายก xxx จึงทำให้เรามักได้ยินประโยคคุ้นหูอย่าง “เขาไม่จำเป็นต้องมาช่วย แต่เขาก็ยังลำบากมา” ซึ่งก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้คนกุมอำนาจของรัฐไม่จำเป็นต้องมาช่วยคนในรัฐของตัวเอง อย่างที่สำนักข่าว ThaiPublica ได้นำเสนอข่าวกรณีน้ำท่วมปี 2554 ที่ทักษิณ ชินวัตรได้นำของ ‘บริจาค’ มาจัดทำถุงยังชีพพร้อมแปะป้ายชื่อตนเองและพรรคเพื่อไทยจนทำให้หลายฝ่ายออกมาทักท้วง

วิธีที่ 2: แดงกับเขียว 

ขั้นตอนที่ 2 หลังจากสร้างฮีโร่เรียบร้อยแล้ว การจะมีแค่ตัวเอกในเรื่องก็คงจะดูน่าเบื่อไป เหล่านักเล่าเรื่องจึงสร้างตัวละครใหม่ขึ้นมานั่นก็คือ ‘ตัวร้าย’ ความสำคัญของตัวร้ายคือเกิดมาเพื่อสร้างความแตกต่างจนเกิดการเปรียบเทียบกับตัวละครเอก ยิ่งเราเห็นว่าตัวร้ายนั้นมีผลงานแย่เท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมองตัวเอกในแง่ดีมากขึ้น 

Angelika Epple และ Walter Erhart ได้กล่าวในวิจัยเรื่อง Practice of Comparing ในปี 2020 ว่าวิธีเปรียบเทียบนี้ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยอริสโตเติล และถูกใช้มาเรื่อยๆ จนกลายเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง หรือที่เราคุ้นเคยกันคือ ‘การจำแนก’ ทั้งนี้จึงอาจเรียกได้ว่าการเปรียบเทียบนั้นอยู่คู่กับมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย จนแทบจะกลายเป็นการเรียนรู้พื้นฐานของเราไปแล้ว 

ด้วยเหตุนี้เองเราจึงมักจะมีอารมณ์ร่วมอยากเอาใจช่วยเสมอเมื่อเห็นตัวเอกปะทะกับตัวร้าย สถาบันการเมืองก็ใช้วิธีเดียวกันในการเล่าเรื่องด้วยการสร้างความดีและความเลวขึ้นมา จึงมักมีวาทกรรมอย่าง ‘นักการเมืองดี’ และ ‘นักการเมืองเลว’ ให้เราเห็นอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้เราจะเห็นนักการเมืองหลายกลุ่มมักเอาตัวเองไปผูกไว้กับสิ่งที่สังคมตอนนั้นมองว่าดี อย่างการรักชาติหรือรักประชาธิปไตย เป็นต้น 

เมื่อเอาตัวเองผูกไว้กับความดีแล้ว วิธีการต่อมาคือการใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘ทวิทัศน์ (Duality)’ หรือการสร้างกรอบการรับรู้ให้มีเพียง 2 ขั้ว ไม่แดงก็เขียว ไม่ขาวก็ดำ ไม่ดีก็เลว กล่าวคือเราจะเห็นสีขาวไม่ชัดถ้าเราไม่เอาสีดำมาตัด ส่งผลให้เมื่อฝั่งหนึ่งถูกมองว่าดีแล้ว อีกฝั่งจะถูกมองว่าเป็นคนเลวไปโดยอัตโนมัติ จนเราลืมไปเลยว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่สองสีคือขาวกับดำ แต่ยังมีสีอื่นๆ ให้เรามองได้อีก อย่างคนเชียร์พรรคก้าวไกลสามารถเป็นอนุรักษ์นิยมได้ คนเชียร์พรรคเพื่อไทยก็สามารถเป็นเสรีนิยมได้ หรือคนเชียร์ภูมิใจไทยไม่จำเป็นต้องอยากได้แค่กัญชาเสรี

การเมืองไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักการเมืองดีและนักการเมืองเลว แต่ยังมีนักการเมืองที่ให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน บ้างอาจมุ่งไปที่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง บ้างอาจมุ่งไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือบ้างอาจมุ่งไปที่การพา ‘เธอ’ กลับมา

วิธีที่ 3: เงินน่ะมีไหม

ตามที่พูดไปว่าบางกลุ่มการเมืองนั้นอาจมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน ซึ่งก็ไม่ผิดที่มีความตั้งใจจะให้ประชาชนอยู่ดีกินดี โดยหากมองถึงเรื่องความต้องการพื้นฐานของมนุษย์แล้ว ประชาชนที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยพอที่จะไปคิดเรื่องนามธรรมอย่างสิทธิ เสรีภาพ อุดมการณ์ จึงมีโอกาสที่จะเลือกสถาบันการเมืองที่มุ่งไปที่การแก้ปัญหาเรื่องปากท้องก่อน โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม ด้วยเหตุผลที่ว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้กินอุดมการณ์เป็นอาหารเช้านั้นก็คงจะเลือกปัจจัยพื้นฐานอย่างเงินที่สามารถเลี้ยงปากท้องมากกว่าฝั่งที่มุ่งนำเสนอขายอุดมการณ์ อย่างที่หลายคนบอกว่าหากท้องยังไม่อิ่ม ก็ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอุดมการณ์

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าประชาชนจะไม่อยากเลือกฝ่ายที่เน้นชูอุดมการณ์ เพราะหากมองภาพในตอนนี้ฝ่ายที่มีจุดยืนในอุดมการณ์ดูจะอยู่ได้ในระยะยาวมากกว่าและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับฝั่งที่มักจะแค่แก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า โดยที่ละเลยปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ เพราะหากเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดประชาชนก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกฝ่ายการเมืองเดิม อีกทั้งจุดยืนของฝ่ายการเมืองใหม่นั้นมองว่าก้าวแรกของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือการปฏิรูปโครงสร้าง เช่น ภาษี มรดก การถือครองที่ดิน ระบบสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งดูจะตอบความต้องการของหลายคนมากกว่า หากไม่ถูกยุบหรือใช้วิชามารแผลงๆ เพื่อหาทางกีดกัน ประโยคที่ว่า “เดี๋ยวรอเลือกใหม่สมัยหน้า” ก็คงจะไม่เกินจริงนัก 

วิธีที่ 4: กลับมาได้บ่

“จริงๆ ตอนนั้นมันก็ดีนะ” ประโยคยอดนิยมที่มักจะทำให้เราวนลูปอยู่กับความสัมพันธ์แบบ toxic relationship ซึ่งอาจรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและสถาบันทางการเมืองด้วย อย่างที่บอกว่ามนุษย์มักจะหาสิ่งเปรียบเทียบอยู่เสมอ เมื่อเจอสถานการณ์ที่ย่ำแย่เราก็มักจะหวนคืนไปหา good old days วันคืนเก่าๆ ที่เคยมีความสุข(หรือทุกข์น้อยกว่านี้) เราจึงจะได้ยินประโยคที่ว่า “คิดถึงสมัยท่าน xxx” “สมัยลุง xxx” หรือ “สมัย xxx อะไรก็ดีกว่านี้” จึงไม่แปลกที่เรามักจะเห็นนักการเมืองหน้าเดิมๆ โผล่มาให้เห็นโดยเฉพาะช่วงเวลาการเลือกตั้ง แถมยังมีโอกาสกลับมาได้รับความนิยมอยู่เสมอ ทั้งนี้เราอาจมองหาแค่ตัวบุคคลจนลืมไปว่าปัญหาจริงๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้นั้นเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ เพราะคนปัจจุบันทำไม่ดี เพราะบาดแผลที่คนเก่าทิ้งไว้ หรือเพราะระบบโครงสร้างการเมืองไม่เอื้อให้เรามีตัวเลือกมากนัก

เมื่อมองการเมืองผ่านวิธีการเล่าเรื่อง เราก็จะเห็นบทบาทหน้าที่และเป้าหมายในการกระทำแต่ละครั้งของบุคคลทางการเมืองมากขึ้น ทั้งนี้จุดประสงค์ของบทความนี้ไม่ได้มีเพื่อโจมตีหรือสนับสนุนฝ่ายใด เพียงแต่อยากให้เห็นถึงวิธีการสื่อสารและแผนประชาสัมพันธ์ของสถาบันทางการเมือง 

ถึงแม้การรอนักการเมืองขี่ม้าขาวมาช่วยอาจเป็นวิธีที่ทำให้เราเห็นภาพได้ชัดที่สุดเหมือนกับการรอซุปเปอร์ฮีโร่มาช่วยประชาชน แต่การมีพระเอกขี่ม้าขาว อาจทำให้เราหลงลืมไปว่าการเมืองนั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ระบบ’ อยู่

เรามักจะเชื่อในตัวบุคคลมากกว่าระบบและหวังพึ่งมนุษย์คนดีซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีความแน่นอนและวัดอะไรไม่ได้เลย คำว่าดีคืออะไร เลวคืออะไร ก็ยังคงเป็นคำถามที่โสเครตีสถามมาตั้งแต่แต่ยุคกรีกจนในปัจจุบันก็ยังไม่มีคนหาคำตอบได้ สุดท้ายในสังคมที่คนมองคำว่า ดี-เลว ฮีโร่-ตัวร้าย แตกต่างกันไป เราจึงควรยึดสิ่งที่เป็นกลาง เป็นสากล มีความแน่นอน และวัดผลได้ ซึ่งก็คือก็คือระบบนั่นเอง

รายการอ้างอิง

คลิปแฉกับกฎหมาย ป.ป.ช. สู่การสืบค้นความผิดพลาดบริหารจัดการน้ำท่วมรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”. (2554, พฤศจิกายน 22). 

เข้าถึงได้จาก ThaiPublica: https://thaipublica.org/2011/11/video-clips-and-corruption-law/ 

Epple, A., Erhart, W. & Grave, J. (2020). Practice of Comparing: Towards a New Understanding of a Fundamental Human Practice. Bielefeld: Bielefeld University Press.

เข้าถึงได้จาก: https://www.degruyter.com/document/doi/10.1515/9783839451663/html#APA 

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
1
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0

More in:Articles

Articles

ภัยพิบัติในไทยกับความสนใจ ‘แค่กรุงเทพ’

เรื่อง: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ภาพ: Wiroj Sidhisoradej จาก Freepik 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ...

Articles

หลอดไฟในดงไม้ แสงสว่างที่ระบบนิเวศไม่ต้องการ

เรื่อง : พรวิภา หิรัญพฤกษ์ ภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี ในเมืองกรุงอันแสนกว้างใหญ่ แม้จะเป็นเวลากลางคืนที่ฟ้ามืดสนิท แสงจากไฟถนนและตึกยังคงส่องสว่างเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญ และในเมืองที่ไม่มีวันดับแสงนี้ การจะเห็นดาวที่ลอยอยู่เต็มผืนฟ้าช่างยากเหลือเกิน แม้แสงไฟจะเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ แต่ไม่ใช่ทุกที่จะเหมาะสมกับความสว่างไสวนี้ ...

Articles

 I’m cringe but I’m free สะเหล่อแล้วไง ไม่แคร์แล้วกัน

เรื่อง : ศิรประภา จารุจิตร ภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี “โอ้ยยย ทำไมตอนนั้นสะเหล่อจัง” ความคิดที่โผล่เข้ามาในหัวขณะที่ล้มตัวลงนอนหลับตาเตรียมฝันดี แต่สมองไม่รักดีกลับขุดภาพความทรงจำอันน่าอับอายขึ้นมาฉาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เล่นมุกแล้วคนทั้งห้องกริบ ทักคนผิดเพราะนึกว่าเป็นเพื่อนตัวเอง ส่งข้อความหาคนที่ชอบเขาอ่านแต่ไม่ตอบ ...

Articles

ต้องอายุเท่าไหร่ ถึงควรจะประสบความสำเร็จ?: ชวนสำรวจนิยามความสำเร็จผ่านตัวละครหลักหลากวัยจาก Only murders in the building

เรื่องและภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ คุณเคยรู้สึกว่าชีวิตตัวเองว่างเปล่าหรือไร้ค่าบ้างไหม? คุณเคยรู้สึกเจ็บช้ำจากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าบ้างหรือเปล่า? คุณเคยมองความสำเร็จของคนอื่นแล้วถามตัวเองหรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่? หากคุณเคยรู้สึกหรือเคยถามตัวเองแบบนั้น คุณอาจเป็นเหมือนสามตัวละครหลักจาก Only murders in the ...

Articles

ผม (ไม่) เคย เฉยชากับความตาย

เรื่องและภาพประภาพ: Amphea Warning : บทความชิ้นนี้มีการพูดถึงเนื้อหาของการพยายามอัตวินิบาตกรรมและการสูญเสียของคนใกล้ตัว โปรดอ่านอย่างระวัง ‘อาม่า’ ของผมเสียไปตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ในวัยประถม แม้ช่วงบั้นปลายชีวิต เธอจะเริ่มหลงลืมลูกหลานและอารมณ์รุนแรงไปบ้าง แต่สำหรับลูกทั้ง 8 คนแล้ว เธอยังคงเป็นคนที่ทุกคนในครอบครัวรักมากที่สุดคนหนึ่ง ส่วนผมนั้นไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับอาม่ามากนัก ...

Articles

ออกเดินทางมาแล้วแต่ยังไกลจุดหมาย : ตอนนี้ Universal Design พาคนพิการเดินทางไปได้เท่าไหนในไทย

เรื่องและภาพประกอบ : ชวิน ชองกูเลีย เป็นเวลาหลาย 10 ปีมาแล้วที่คนพิการต้องเรียกร้องสิทธิต่างๆ ทั้งในประเด็นสิทธิในการเข้าทำงาน มุมมองด้านลบที่คนพิการเคยถูกมองว่าไม่มีความสามารถ หรือเคยทำกรรมไว้จึงพิการ และปัญหาความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขาหลังจากที่ต้องสูญเสียทักษะบางอย่างไป การเดินทางเองก็เป็นอุปสรรคอันดับต้นๆ ที่คนพิการต้องพบเจอและมีการเรียกร้องมาเป็นเวลานาน จนมีกฎหมายเกี่ยวกับ Universal Design ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save