ภาพและเรื่อง :ภัสรา จีระภัทรกุล
“รถไฟไทย” คงเป็นขนส่งสาธารณะที่คนกรุงเทพฯ นึกถึงเป็นลำดับท้ายๆ และเป็นเพียงยานพาหนะเก่าคร่ำครึที่ควรถูกปลดระวางในสายตาใครหลายคน แต่กลับยังคงเป็นที่พึ่งของผู้คนเสมอ
หลายๆ คนคงเคยขึ้นรถไฟครั้งหนึ่งในชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกครั้งที่นึกถึงการเดินทางในชีวิตประจำวัน รถไฟกลับไม่ใช่ทางเลือกที่ผุดขึ้นมาในหัว
ตั้งแต่เล็กจนโต ผู้เขียนไม่เคยได้มีโอกาสนั่งรถไฟเลยสักครั้ง ได้ยินเพียงเรื่องเล่าการท่องเที่ยวด้วยการนั่งรถไฟ จนพลันคิดไปว่ารถไฟมีไว้สำหรับเดินทางท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เมื่อโตขึ้นในวันที่ต้องพาร่างที่อ่อนล้าและกระเป๋าเงินเบาหวิวออกเดินทางเข้าเมืองไปทำงานโดยมีค่าตั๋วรถไฟที่แสนถูก และชุบหัวใจอันเหี่ยวเฉาด้วยทุ่งหญ้าเขียวสองข้างทาง ไอแดดที่ลอดผ่านหน้าต่าง สายลมที่พัดเข้ามากระทบผิว เสียงผู้คนคุยกันจอแจ ทำให้ผู้เขียนได้รู้ว่ายังคงมีผู้คนมากมายที่ใช้รถไฟในการเดินทางในชีวิตประจำวัน และภาพวิวในยามเช้าก่อนไปทำงานนั้นสวยงามเพียงใด
วันนี้ Varasarn Press จะพาทุกคนมาเยี่ยมชมสถานีรถไฟเชียงราก เพื่อนเดินทางในความทรงจำ ที่น้อยคนจะนึกถึง
.
วินาทีแรกที่ย่างเข้าสู่สถานี ความเงียบสงัดกระจายอยู่รอบๆ มีเก้าอี้เก่าๆ ที่ถูกแสงแดดและกาลเวลาพรากความสดใสออกไป คอยเป็นที่พักพิงให้กับนักเดินทางอยู่เสมอ แม้สภาพจะดูโทรมตามอายุการใช้งาน แต่เก้าอี้เหล่านี้ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี
.
เศษซาก และร่องรอยของกาลเวลาที่ผันผ่านถูกทิ้งไว้ในสถานีที่เงียบเหงา ไร้ผู้คน แต่เมื่อเสียงหวูดดัง รถไฟขบวนต่อไปแล่นเข้าสู่ชานชาลา ความคึกคักจะกลับสู่สถานีอีกครั้ง
.
ปู๊น ๆ เสียงหวูดรถไฟ ตามด้วยเสียงกระดิ่งดังก้องกลางสถานีรถไฟเชียงรากที่เงียบสงัด ก่อนที่นายสถานีจะโบกธงเพื่อเป็นสัญญาณให้รถไฟจอดรับส่งผู้โดยสารอย่างปลอดภัย
มีผู้คนมากหน้าหลายตาบนยานพาหนะยักษ์ใหญ่ นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีเพียงบางตา ยังมีผู้คนที่หอบหิ้วสัมภาระเดินทางข้ามจังหวัด หรือแม้แต่เดินทางเข้าตัวเมืองกรุงเทพฯ เพื่อไปทำงาน
สองเท้าของผู้เขียนก้าวขึ้นไปบนรถไฟที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน อากาศที่ร้อนอบอ้าวยามรถไฟจอดนิ่งเพื่อรับส่งผู้โดยสาร กลิ่นของน้ำมันที่ถูกเผาไหม้ตีขึ้นจมูก พานทำให้นึกไปว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเลือกเดินทางด้วยรถไฟ แต่เมื่อล้มตัวลงนั่งยามที่รถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานี ลมอ่อนซึ่งพัดผ่านช่องหน้าต่าง และวิวสองข้างทางที่สงบเงียบ แม้เสียงเครื่องยนต์และผู้คนจะดังระงม แต่หัวใจของผู้เขียนกลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
.
ผู้คนพูดคุยจอแจเคล้าคลอกับเสียงล้อกระทบรางรถไฟ แม่ค้าหาบของมาเต็มตระกร้ากลายเป็นที่พึ่งคลายความหิวในยามเช้าของผู้เขียน ตำรวจรถไฟที่คอยเดินตรวจตราอยู่ภายในขบวนเป็นที่พึ่งคลายความกังวล ทำให้ผู้เขียนทิ้งหัวพิงซบขอบหน้าต่างและงีบหลับได้อย่างสบายใจ เมื่อลองนึกๆ ดูแล้ว หากผู้เขียนเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเหมือนอย่างเคยในเวลาเช้าเช่นนี้ คงไม่พ้นต้องยืนเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมาก กอดกระเป๋าไว้แนบอก แสร้งก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือในมือเพราะไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหน
.
รถไฟหยุดลงที่สถานีกรุงเทพหัวลำโพง สถานีปลายทางที่ระบุในตั๋วกระดาษใบจิ๋ว ง่ายต่อการเดินทางต่อไปยังสถานที่ทำงาน แม้จะใช้เวลามากกว่าการขึ้นรถแท็กซี่หรือขับรถยนต์ส่วนตัว แต่เพื่อแลกกับค่าเดินทางแสนถูก การหลีกหนีจากความวุ่นวายและการเบียดเสียดผู้คนในรถไฟฟ้าในช่วงเวลาเร่งรีบ การขึ้นรถไฟในครั้งนั้นเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า หลังจากนี้ เมื่อต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ รถไฟไทยจะเป็นทางเลือกแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวของผู้เขียนสมอ
ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว สายลมพัดผ่านหน้าต่าง ภาพวิวทุ่งนาสองข้างทางเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ตัดผู้เขียนออกจากความเป็นเมืองที่แสนวุ่นวาย แม้เวลาชั่วโมงเศษจากสถานีเชียงรากถึงปลายทางจะเป็นระยะเวลาไม่นานนัก แม้สถานีจะร้างผู้คนและเงียบเหงาเพียงใด แต่รถไฟไทยก็ยังเป็นเพื่อนที่พึ่งให้กับผู้คนได้ตลอดมา